รายงานพิเศษ : รัฐบาลติดปีก‘สหกรณ์’  เสริมความแกร่งเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชาติ

รายงานพิเศษ : รัฐบาลติดปีก‘สหกรณ์’ เสริมความแกร่งเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชาติ

วันจันทร์ ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561, 06.00 น.
Tag :

วิวัฒนาการของระบบสหกรณ์ในประเทศไทย เริ่มต้นเมื่อ พ.ศ. 2458 ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ อธิบดีกรมพาณิชย์และสถิติ ได้ทรงทดลองนำวิธีการสหกรณ์เข้ามาดำเนินการครั้งแรกในประเทศไทย โดยก่อตั้งสหกรณ์แห่งแรก คือ สหกรณ์วัดจันทร์ ไม่จำกัดสินใช้ ณ ตำบลวัดจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2459

ต่อมาวิธีการสหกรณ์ได้รับการยอมรับว่า สามารถช่วยแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ให้กับชาวบ้านได้และมีการขยายผลการจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ คณะรัฐมนตรีจึงกำหนดให้วันที่ 26 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็น “วันสหกรณ์แห่งชาติ”และในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 นี้ เป็นโอกาสของวันครบรอบ 102 ปี สหกรณ์ไทย


การเติบโตของระบบสหกรณ์ในประเทศไทยนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้หลายภาคส่วนเล็งเห็นถึงบทบาทและศักยภาพของสหกรณ์ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คาดหวังจะใช้กลไกของสหกรณ์ เป็นกำลังสำคัญในการยกระดับชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นโดยมอบนโยบายให้หน่วยงานต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ทั่วประเทศ เพื่อให้สหกรณ์ทำหน้าที่ในการส่งเสริมอาชีพ สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชน และส่งผ่านความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากรัฐบาลไปสู่ประชาชน นั่นเพราะปัจจุบันประเทศไทยมีสหกรณ์ทั้งในและนอกภาคการเกษตรกว่า 8,100 แห่ง สมาชิกรวม 12 ล้านครอบครัว สินทรัพย์สหกรณ์ทั้งประเทศมีมากถึง 2.7 ล้านล้านบาท ดังนั้น หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบกำกับดูแลสหกรณ์ คือ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ซึ่งมีภารกิจหลักเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานของสหกรณ์ทั่วประเทศ จึงได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วน เดินหน้าในการพัฒนาสหกรณ์มีความเจริญก้าวหน้าและเข้มแข็งตามเป้าหมายที่รัฐบาลคาดหวังไว้

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่กำกับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายการทำงานในปี 2561 ให้กระทรวงเกษตรฯเร่งสร้างสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็งเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้กับเกษตรกร และอยากเห็นสหกรณ์เป็นกำลังของเกษตรกรที่แท้จริงในการพัฒนาและช่วยปฏิรูปภาคการเกษตรให้สำเร็จ 
สิ่งที่อยากเห็นในอนาคตอันใกล้นี้ คือ การผลักดันให้สหกรณ์นำระบบอีคอมเมิร์ซเข้ามาเชื่อมโยงกับภาคการท่องเที่ยวและขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชนของตนเองไปยังตลาดทั้งในและต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้คุยกับผู้แทนสหกรณ์ต่างๆว่า ในวาระที่การสหกรณ์ก้าวเข้ามาสู่ 102 ปี รัฐบาลจะหาทางยกระดับสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ ล่าสุดรัฐบาลกำลังคุยเรื่องการแก้ไขพระราชบัญญัติสหกรณ์ ที่เป็นกฎหมายใหญ่ให้รองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและสอดรับกับการพัฒนาระบบสหกรณ์มากขึ้น

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมที่จะระดมสรรพกำลังจากทุกหน่วยงานภายใต้การกำกับของกระทรวงพาณิชย์ ในการเข้ามาช่วยสหกรณ์ให้ก้าวข้ามผ่านปีที่ 102 ไปได้อย่างราบรื่น 
ด้วยการสานพลังความร่วมมือในการจัดหาช่องทางการตลาดรองรับผลผลิตเพื่อสนับสนุนธุรกิจสหกรณ์ภาคการเกษตร เพื่อเป็นการการันตีว่า เมื่อสหกรณ์ส่งเสริมสมาชิกให้ผลิตสินค้าดี มีคุณภาพ เมื่อสหกรณ์ทำหน้าที่ในการรวบรวมผลผลิตหรือแปรรูปผลผลิตออกมาเป็นสินค้าแล้ว จะมีตลาดรองรับสินค้าของสหกรณ์อย่างชัดเจน สิ่งสำคัญคือ ต้องดำเนินการภายใต้หลักคิด “ตลาดนำการผลิต” นำข้อมูลรอบด้านมาใช้วางแผนการผลิตให้มีปริมาณและคุณภาพที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

ด้าน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ก็เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่พร้อมเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจให้กับสหกรณ์ภาคการเกษตร โดย นายสมศักดิ์ กังธีระวัฒน์ รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. ระบุว่า ธ.ก.ส.มีความพร้อมจัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำคอยสนับสนุนแก่สหกรณ์ที่ต้องการเงินทุนไปดำเนินกิจการทั้งการผลิต การรวบรวมสินค้า และการแปรรูปก่อนจัดจำหน่าย ขณะเดียวกัน ธ.ก.ส.ยังเข้ามาร่วมมือกับกรมส่งเสริมสหกรณ์พัฒนาระบบฐานข้อมูลและระบบบัญชี ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ ก็จะคิดโครงการเพื่อฝึกอบรมสหกรณ์ให้มีความเชี่ยวชาญเรื่องของระบบการเงินด้วย

ขณะที่ นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในระยะสั้นของการสร้างความเข้มแข็งของสหกรณ์ภาคการเกษตร ต้องทำองค์กรให้มีความพร้อมก่อน ทั้งด้านการบริหารงานการควบคุมภายใน การทำธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของสมาชิก และที่สำคัญที่สุด คือ ต้องสร้างธรรมาภิบาลของผู้บริหารสหกรณ์ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของการสร้างสหกรณ์ขึ้นมาเป็นองค์กรสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ

ขณะเดียวกันยังต้องการเห็นสหกรณ์การเกษตร เป็นองค์กรที่พึ่งพิงตัวเองมากกว่ารอความช่วยเหลือจากภายนอก สหกรณ์ขนาดใหญ่ต้องช่วยเกื้อหนุนสหกรณ์ขนาดเล็ก โดยให้สหกรณ์ขนาดเล็กทำหน้าที่ผลิต สหกรณ์ขนาดใหญ่ทำหน้าที่หาตลาด เดินหน้าไปด้วยกัน และยกระดับให้เหมือน SMEs รวมถึงต้องการให้สหกรณ์ทำหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ และส่งเสริมอาชีพให้กับชาวบ้าน ซึ่งจะต้องกระตุ้นให้เกษตรกรรายย่อยเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกของสหกรณ์ให้ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน .

ส่วนสหกรณ์นอกภาคเกษตร เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิตยูเนี่ยน สิ่งสำคัญที่ต้องกู้กลับมาคือ “ภาพลักษณ์” เพราะทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักมองภาพสหกรณ์ออมทรัพย์หรือสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนในมุมของการทุจริต เรื่องนี้จะต้องเร่งสร้างกระบวนการของสหกรณ์ใหม่ ชูตัวเองขึ้นมา โดยเฉพาะกรรมการสหกรณ์ต้องบริหารงานโดยยึดประโยชน์ของสมาชิกเป็นที่ตั้ง และร่วมกันวางเกณฑ์กติกาในการป้องกันความเสี่ยงให้กับตัวเอง โดยไม่ต้องให้รัฐมาคอยกำกับ เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารงานได้เหมาะสม เช่นเดียวกับการสร้างสวัสดิการต่างๆ ดูแลสมาชิก ซึ่งจะช่วยลดภาระภาครัฐในการจัดสวัสดิการลงมาดูแลในแต่ละปีด้วย  

“พิเชษฐ์” ทิ้งท้ายด้วยว่า “การจะให้ภาครัฐไปช่วยเหลือเป็นรายคนเป็นไปไม่ได้เลย วันนี้ถ้าหากชาวบ้านมีการรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ รัฐบาลก็สามารถผ่านความช่วยเหลือผ่านทางสหกรณ์ไปยังสมาชิกก็คือประชาชนได้ ดังนั้น สหกรณ์จะเป็นกลไกสำคัญที่จะเข้าไปพัฒนาชุมชนแทนภาครัฐ การที่ทุกภาคส่วนได้เข้ามาดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ช่วยกันเสริมสร้างศักยภาพและยกระดับความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อนำสหกรณ์ก้าวเข้าสู่ ยุคใหม่ เป็นองค์กรที่ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากและดูแลสวัสดิการให้คนในสังคมไทย

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top