กอ.รมน.ลงพื้นที่แก้ปัญหาฟาร์มหมูปล่อยน้ำเสียลงสู่ลำน้ำสาธารณะ จ.ราชบุรี หลังมีกลุ่มผู้ร้องอ้างว่าได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถทำกินได้ ด้านผู้ประกอบการโอดโดนกลั่นแกล้ง วอนหน่วยงานตรวจสอบข้อเท็จจริง ล่าสุดตั้งทีมกฎหมายดำเนินคดีแล้ว
25 เม.ย.61 พล.ท.ผดุง ยิ่งไพบูลย์สุข ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 4 กอ.รมน.พร้อมคณะ พล.ต.เอกรัตน์ ช้างแก้ว เสธ.ทน.1/เลขาธิการ กอ.รมน.ภาค 1 , พล.ต.เจษฎา เปรมนิรันดร ผบ.พล.พัฒนา 1 ลงพื้นที่แก้ไขปัญหาฟาร์มสุกรที่ถูกกลุ่มชาวบ้านร้องทุกข์ ว่ามีการลักลอบทิ้งของเสียลงสู่ลำน้ำสาธารณะ ในพื้นที่ จ.ราชบุรี โดยมี นายวิสิษฎ์ พวงเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี , พ.อ.เอกธนา เสนานนท์ รอง ผอ.รมน.จังหวัดราชบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จ.ราชบุรี และ จ.นครปฐม ประชุมร่วมกันเพื่อบูรณาการในการแก้ไขปัญหาจากการร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่ ที่ประสบปัญหาน้ำเสียจากฟาร์มหมูไหลลงลำห้วยและซึมลงสู่ชั้นผิวดิน ที่ถูกระบุอ้างว่าสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านมาเป็นเวลานาน ของฟาร์ม 3 แห่ง ในพื้นที่ จ.ราชบุรี
โดย พล.ท.ผดุง ยิ่งไพบูลย์สุข ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 4 กอ.รมน.ได้แจ้งกับผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย ว่า จากปัญหาที่มีการร้องเรียนของชาวบ้านที่ระบุว่าได้รับความเดือดร้อนมีการร้องเรียนมาบ่อยครั้งไม่จบไม่สิ้น วันนี้เราต้องเข้ามาช่วยกันบูรณาการแก้ปัญหาให้ถูกจุด สร้างความเข้าใจให้ตรงกันในทุกมิติให้คลี่คลายไปในทางที่ดี ซึ่งจะเกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย โดยยึดถือประชาชนเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหา ภายใต้ข้อกฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้อง
พล.ท.ผดุง ได้ให้ทางผู้แทนจากอุตสาหกรรมจังหวัด ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้อธิบายถึงข้อกฎหมายในการกระทำความผิดของผู้ประกอบการได้ทราบ หากพบการกระทำความผิดจะถูกนำไปสู่กระบวนการกฎหมายในมาตรานั้นๆ พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำเสียในอ่างเก็บน้ำสาธารณะ โดยมีศูนย์ดำรงธรรม จ.ราชบุรี และคณะทำงานระดับอำเภอชี้แจง ซึ่งมีหน่วยทหาร คือ กองพลพัฒนาที่ 1 ได้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาในอ่างเก็บน้ำสาธารณะด้วย ในการนี้ ผู้แทนจาก 2 ฟาร์ม ได้ชี้แจงการแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งรับทราบการปฏิบัติการที่ถูกต้องตามกฎหมายจากส่วนงานที่เกี่ยวข้องในการบำบัดน้ำเสีย
จากนั้น พล.ต.เจษฎา เปรมนิรันดร ผบ.พล.พัฒนา 1 ได้อธิบายขั้นตอนการดำเนินการแก้ไขปัญหาตามโครงการการแก้ไขปัญหาน้ำเสียของ คสช.โดยการนำศาสตร์พระราชามาใช้ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งจากการดำเนินการที่ผ่านมาได้ผลเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง บ้านดอยดินหมู่ที่ 2 ต.ห้วยไผ่ ที่เกิดจากการลักลอบปล่อย โดยใช้ท่อจากฟาร์มหมูแห่งหนึ่ง และเกิดจากการพังทลายของคันดินกั้นบ่อเก็บกักน้ำซ่าเหล้า ของอีกฟาร์มหนึ่ง ซึ่งทางอำเภอเมืองได้ทำหนังสือสั่งให้ทั้ง 2 ฟาร์ม ร่วมกันรับผิดชอบในการฟื้นฟู ทั้งนี้ ทางกองพลพัฒนาที่ 1 ได้นำอีเอ็มบอลและใช้เคมีบำบัดร่วม ทำให้น้ำที่มีสีและความเข็มค้นของสารส่าเหล้าภายในน้ำเกิดการสลายและมีค่าของน้ำที่ดีขึ้นและในขึ้น ในส่วนพื้นที่เกษตร ที่ชาวบ้านบอกไม่สามารถทำกินได้ ทางทหารเราได้นำพืชผัก และ หญ้าที่ทนต่อสภาพน้ำนำมาทดลองปลูกได้ผลงามเป็นที่น่าพอใจ เตรียมที่จะดำเนินการขยายเพิ่มต่อ
ต่อมา พล.ท.ผดุง และคณะ ได้ลงพื้นที่ดูบ่อบำบัดน้ำเสียของฟาร์มแห่งหนึ่ง จากการสำรวจดูตามสภาพแล้วคงจะไม่ผ่านระบบบำบัดที่สมบูรณ์ จึงได้สั่งให้ทางฟาร์มหยุดใช้ เนื่องจากถ้าเกิดในช่วงฝนตกหนักจะทำให้เอ่อล้นท่วมถนนเข้าไปสร้างความเสียหายให้กับทางไร่ของเกษตรกรได้
ด้าน เจ้าของฟาร์ม ได้ยื่นเอกสารที่ตนเองถูกกลุ่มผู้ร้องเรียน ร้องไปยังหน่วยงานต่างๆ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจากศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 4 กอ.รมน.ที่มีการเข้ามาตรวจสอบหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่ พล.ท.ชวลิต พงษ์พิทักษ์ อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการที่ 4 กอ.รมน.ท่านก่อน ได้เคยนำเจ้าหน้าที่ทั้งนิติกรและเจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อมภาค 8 ทรัพยากรน้ำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ สั่งดำเนินคดีในส่วนที่ตรวจพบ และสั่งแก้ไขตามเอกสาร นอกจากนี้ ยังมีเรื่องร้องเรียนต่างๆ ผ่านไปยังหน่วยงานสื่อ ที่กล่าวอ้างว่าทางฟาร์มสร้างปัญหาความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน จากน้ำเสียไหลออกจากฟาร์มไหลซึมเข้าพื้นที่เกษตรของชาวบ้าน รวมไปถึงการลักลอบปล่อยน้ำเสียลงสู่สาธารณะ ซึ่งไม่เป็นความจริง ได้นำเอกสารทั้งหมดยืนให้ พล.ท.ผดุง ยิ่งไพบูลย์สุข ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 4 กอ.รมน.เพื่อขอความเป็นธรรม และขอให้ตรวจสอบผลการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งมองว่าไม่เป็นความเป็นธรรมกับตนเอง
เจ้าของฟาร์ม กล่าวว่า วันนี้ตนเองเกิดความสุดทน ในฐานะผู้ประกอบการที่ตกเป็นจำเลยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นมา ตนเองได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มของผู้ร้องที่รวมตัวกัน ไปยื่นร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ ทั้งในระดับจังหวัด ทหาร กอ.รมน. จังหวัด และส่วนกลาง นอกจากนี้ ยังไปร้องสำนักสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร้องไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าฟาร์มของตนเองสร้างความเดือนร้อนให้กับพวกของกลุ่มผู้ร้อง โดยอ้างว่า ทางฟาร์มนั้นปล่อยน้ำเสียลงสู่บ่อสาธารณะ น้ำเสียไหลรั่วซึมเข้าสู่ที่นาของเกษตรกร ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วน้ำเสียที่เกิดในบ่อสาธารณะเกิดจากการพังทลายของคันกันดินของบ่อเก็บน้ำกากซ่าเหล้าภายในฟาร์ม ทำให้น้ำซ่าเหล้าไหลลงไปในบ่อสาธารณะ และอีกส่วนเกิดจากน้ำเสียไหลออกมาจากอีกฟาร์มด้วย ทั้งนี้ ทาง อบต.และทางศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ได้เข้ามาสั่งให้ทั้ง 2 ฟาร์ม ช่วยกันแก้ไขและฟื้นฟูอยู่ในขณะนี้
นอกจากนี้ ยังมีการร้องเรียนว่าน้ำบาดาลไม่สามารถใช้ได้ เนื่องจากมีน้ำสารพิษจากทางฟาร์ม ซึ่งทั้งหมดนี้ จากที่มีการไปร้องเรียนได้มีหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ปี 57 มาจนถึงปัจจุบัน และจากที่หน่วยงานเข้ามาตรวจสอบ ทุกครั้งผลก็ออกยืนยันมาว่าค่าน้ำแต่ละจุดไม่ตรงกัน มีความขัดแย้งกัน น้ำบาดาลสามารถใช้ได้ น้ำจากใต้ดินที่อ้างว่าไหลรั่วซึมจากทางฟาร์ม ผลตรวจแล้วก็ไม่ตรงกันไม่เป็นไปตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง โดยทุกครั้งที่หน่วยงานเข้ามาตรวจสอบ ก็ได้แจ้งกับทางกลุ่มผู้ร้องว่าถ้าผลออกมาอย่างไรก็ต้องยอมรับตามนั้น โดยทางผู้ร้องก็ยืนยันว่าจะยอมรับ แต่เมื่อผลออกมาแล้วไม่ตรงกัน กลุ่มผู้ร้องก็ไม่ยอมรับอีก ยังคงเดินหน้าร้องเรียนต่อไป
"เรื่องนี้ตนมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงอยากวิงวอนขอให้หน่วยงานที่รับเรื่องร้องเรียนนั้นช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย โดยเฉพาะสื่อมวลชน ได้แต่ลงมาทำข่าวนำเสนอฝ่ายเดียว ไม่เคยมาสัมภาษณ์ทางตนเลย ได้ข้อมูลก็ได้ฝ่ายเดียว ไม่ได้จากทางผู้ประกอบการบ้างเลย นอกจากนี้ ฟาร์มเรามีเอกสารที่เก็บรวบรวมจากการถูกร้องเรียนและเข้ามาตรวจสอบจำนวนมาก ซึ่งล่าสุดเราได้ตั้งทีมกฎหมายทำการฟ้องร้องไปยังกลุ่มผู้ร้องเรียนทั้งหมดแล้ว รายละเอียดไม่ขอพูด ขอให้ว่ากันไปตามกฎหมาย อยู่ที่ศาลท่านจะพิจารณา"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี