30 พ.ค. 2561 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ร่วมกับสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน จัดเวทีเสวนาวิชาการ “การพัฒนากฎหมายและกลไกป้องกันการฟ้องคดีปิดปากเพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ” ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถ.สามเสน กรุงเทพฯ โดยในงานดังกล่าว นายพรภัทร์ ตันติกุลานันท์ ผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันทางสำนักงานศาลยุติธรรม ได้เสนอขอแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) โดยให้ระบุไว้ในมาตรา 161/1 ว่า
“มาตรา 161/1 ในกรณีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ก่อนไต่สวนมูลฟ้อง หากความปรากฏต่อศาลว่า โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตหรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อกลั่นแกล้ง หรือเอาเปรียบจำเลยหรือโดยมุ่งหวังผลอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้โดยชอบ ศาลจะมีคำสั่งไม่ประทับฟ้องนั้นก็ได้ และห้ามโจทก์ยื่นฟ้องคดีนั้นอีก คำสั่งเช่นว่านี้ไม่ตัดอำนาจพนักงานอัยการที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่”
ซึ่งสาเหตุคือต้องการให้มีมาตรการกลั่นกรองคดีที่ฟ้องเข้ามาสู่ศาลในระดับหนึ่งก่อนในกรณีที่มีเอกชนหรือบุคคลมายื่นฟ้องกับศาลโดยตรง เพราะที่ผ่านมาการใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลในลักษณะมีเจตนาสร้างความยุ่งยากให้กับคู่ขัดแย้ง หรือที่เรียกว่าฟ้องปิดปากนั้นส่วนใหญ่เอกชนมักเป็นผู้ฟ้อง จึงเน้นไปที่การตรวจสอบคดีที่ภาคเอกชนฟ้องเป็นหลัก ส่วนคดีที่อัยการสั่งฟ้องนั้นเชื่อว่าได้ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วผ่านกระบวนการในชั้นสอบสวน
“คำว่าไม่สุจริตหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง ความหมายก็จะรวมไปถึงกรณีอย่างหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาแล้วไปฟ้องในที่ห่างไกล เช่น มีกรณีไปฟ้องที่ อ.เบตง จ.ยะลา โดยอ้างว่าทราบเหตุที่เบตง เพื่อกลั่นแกล้งจำเลย ส่วนท่อนที่บอกว่ามุ่งหวังผลอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้โดยชอบ ความหมายก็คือไม่ได้ต้องการชนะคดีอย่างแท้จริง แต่เป็นการฟ้องเพื่อคุกคามให้เกิดความกลัวเท่านั้นเอง จะได้ยอมไปต่อรองอะไรบางอย่าง” นายพรภัทร์ ระบุ
ขณะที่ น.ส. ส รัตนมณี พลกล้า ผู้แทนมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน เสนอแนะว่า อยากให้ปรับแก้เพิ่มเติมว่าแม้จะเป็นการยื่นฟ้องโดยอัยการ แต่ศาลก็ควรมีอำนาจตรวจสอบและสั่งไม่ฟ้องได้เช่นเดียวกับกรณีบุคคลยื่นฟ้องเอง เพราะต้องยอมรับว่าในบางเรื่องอัยการก็มีเวลาตรวจสอบสำนวนน้อย เช่น มีเวลาเพียง 1 วันในการสั่งฟ้อง อัยการก็ต้องรีบสั่งฟ้องไปก่อน
นอกจากนี้หากจะแก้ก็อยากให้ครอบคลุมไปถึงการฟ้องคดีแพ่งด้วย รวมทั้งใน พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 21 ที่ให้อำนาจอัยการสามารถสั่งไม่ฟ้องได้ในกรณีพบว่าฟ้องแล้วไม่เป็นประโยชน์กับสาธารณะ ซึ่งสามารถใช้ดุลยพินิจตีความได้กว้างมาก แม้ทางอัยการจะมีแนวปฏิบัติว่าคดีแบบใดที่ไม่เป็นประโยชน์กับสาธารณะ แต่บุคคลภายนอกมักไม่ค่อยได้รับรู้ อีกทั้งการอบรมผู้มาประกอบอาชีพทนายความก็ต้องปรับเปลี่ยนเช่นกัน
“จริงๆ หลายเรื่องไม่ควรเป็นคดี แต่มันเป็นคดีเพราะทนายความ เรื่องบางเรื่องถ้าทนายความสามารถใช้ดุลยพินิจและให้ความเห็นในทางเคารพสิทธิมนุษยชน เรามองว่าทนายความที่ทำงานอยู่ตอนนี้เป็นผู้อยู่ในกลุ่มธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนด้วย ทนายความก็ต้องเคารพหลักสิทธิมนุษยชน ถ้าทนายความใช้กรอบตรงนี้มาพิจารณาด้วย เรื่องบางเรื่องมันอาจเข้าไปสู่การไกล่เกลี่ยแต่มันจะไม่เป็นคดี อันนี้ก็ต้องฝากทางสภาทนายความ จะมีแนวโน้มพูดเรื่องกรอบจริยธรรมของทนายความ ความเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร” น.ส. ส รัตนมณี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี