วันพฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สัปดาห์ที่แล้ว ได้รับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับการควบคุมการใช้งานสารเคมีอันตรายจากคณาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ภายหลังจาก “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” มีมติไม่ยกเลิกการใช้วัตถุอันตราย 3 ชนิด คือ “พาราควอต-คลอร์ไพริฟอส-ไกลโซเฟต” ซึ่งเห็นว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจ และควรอย่างยิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีหน้าที่กำหนดกรอบข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้สารเคมีอันตรายต้องนำไปคิดอ่านกันต่อ จึงขออนุญาตสรุปมานำเสนอให้ทุกท่านนำไปพิจารณา ดังนี้ครับ
ผศ.ดร.ดุสิต อธินุวัฒน์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัย คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพืช และการจัดการเกษตรอินทรีย์ บอกว่า “พาราควอต-คลอร์ไพริฟอส-ไกลโซเฟต” เป็นสารเคมีที่รู้จักกันดีในแวดวงเกษตรกรไทย และนิยมใช้ในการกำจัดวัชพืช เพราะมีราคาที่ไม่สูงมากและเห็นผลเร็ว แต่ขณะเดียวกันในระยะยาว ก็ส่งผลเสียขั้นรุนแรงทั้งต่อสุขภาพของเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ซึ่งในหลายประเทศทั่วโลก มีมาตรการห้ามใช้สารเคมีดังกล่าวเป็นการถาวรมากว่า 10 ปี รวมถึงมีการใช้สารชนิดอื่นเข้ามาทดแทน เนื่องจากคุณภาพชีวิตของประชากรและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ทางภาครัฐต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
ขณะที่เกษตรในหลายพื้นที่ ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้สารในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งควรใช้ในปริมาณที่ฉลากแนะนำ โดยบางรายใช้ปริมาณเกินกว่าที่ฉลากกำหนด และส่งผลตามมา โดยหนึ่งในกรณีที่เห็นได้ชัดเจนคือ การตรวจพบสารเคมีตกค้างในกระแสเลือดของเกษตรกรจังหวัดยโสธร 81 ราย จากทั้งหมด 82 ราย ดังนั้นจึงถึงเวลาที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเข้ากำหนดกรอบหรือวางข้อบังคับการใช้สารเคมีอย่างชัดเจน อาทิ กำหนดให้เกษตรกรที่มีความประสงค์ใช้สารอันตรายต้องมีใบอนุญาต เพื่อสามารถจำกัดกลุ่มผู้ใช้ และสามารถให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่เกษตรกรที่จำเป็นต้องใช้สารอันตราย ทั้งอัตราการใช้ ความถี่ของการใช้ การแต่งกายขณะใช้สารเคมี และวิธีการจัดการในกรณีได้รับพิษจากสารเคมี รวมทั้งมีการควบคุมการใช้ตามขนาดพื้นที่อย่างเคร่งครัด พร้อมกำหนดคณะติดตามผล เพื่อเข้าตรวจสอบ ชี้วัดถึงความอันตรายต่อคุณภาพชีวิตเกษตรกร ประชาชนในพื้นที่ และสิ่งแวดล้อมโดยรอบแบบรัดกุม ทั้งนี้ในปี 2560 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการนำเข้าสารอันตราย พาราควอต-คลอร์ไพริฟอส-ไกลโซเฟต เป็นจำนวนกว่า 44,501 ตัน 3,700 ตัน และ 59,872 ตัน ตามลำดับ (ที่มา : กรมวิชาการเกษตร, 2560) ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่ทั้งเกษตรกรไทยและภาครัฐ ยังไม่ตระหนักถึงผลกระทบของการใช้สารเคมีอันตรายได้อย่างชัดเจน
ขณะที่ ผศ.ดร.บัณฑิต อนุรักษ์ อาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. ผู้เชี่ยวชาญด้านสารเคมีในภาคการเกษตร ชี้ว่า นอกจากประเด็นการควบคุมการใช้วัตถุอันตรายแล้ว ยังมีกรณี “ปุ๋ยปลอม” ที่ยังไม่ได้รับการเพ่งเล็งหรือตรวจสอบจากภาครัฐเท่าที่ควร ด้วยข้อจำกัดของเจ้าหน้าที่วิเคราะห์และตรวจสอบสารพิษที่มีไม่เพียงพอ โดยมีกรณีศึกษาจากการพบเกษตรกรใน อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี มีการใช้สารเคมีหลายชนิด มากกว่า 2 เท่าของค่ามาตรฐานที่ฉลากกำหนด เนื่องจากเกษตรกรไม่สามารถตรวจสอบคุณภาพของปุ๋ยที่ซื้อมาได้ จึงจำเป็นต้องผสมร่วมกับปุ๋ยเคมีชนิดอื่นในการฉีดพ่น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรผู้ฉีดพ่น ที่ตรวจพบสารเคมีตกค้างในเลือดกว่า 60% ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมด ปริมาณสารพิษตกค้างกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟสในนาข้าวและผลกระทบต่อสุขภาพเกษตรกร
ทั้งนี้ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถแก้ไขได้อย่างครบวงจร จะสามารถเยียวยาและยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย ไม่ให้ถูกหลอกลวงจากการใช้ปุ๋ยปลอม และประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี