นายประสงค์ ประไพตระกูล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร
ปุ๋ยเคมี คือ ธาตุอาหารของพืช ซึ่งพืชต้องการเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต ธาตุอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืชมีอยู่ด้วยกัน 16 ธาตุ แต่มีอยู่ในดิน 13 ธาตุ โดยธาตุอาหารหลักที่พืชต้องการในปริมาณมาก แต่ในดินมักจะขาด คือ ไนโตรเจน (N:เอ็น) ฟอสฟอรัส (P:พี) และโพแทสเซียม (K:เค) จึงจำเป็นต้องเพิ่มเติมให้ในรูปของปุ๋ยเคมี
นายประสงค์ ประไพตระกูล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ในดินมีธาตุอาหารที่พืชต้องการเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตแตกกิ่งก้านสาขา ผลิดอกออกผล ถ้าเป็นดินที่บุกเบิกใหม่หรือผ่านการใช้ที่ดินทำการเกษตรได้ไม่นาน ธาตุอาหารในดินยังคงมีอยู่มาก พืชสามารถนำไปใช้ได้เพียงพอกับความต้องการ แต่ในกรณีพื้นที่ผ่านการทำการเกษตรต่อเนื่องมายาวนาน พืชจะดูดดึงธาตุอาหารออกไปจากดินอย่างถาวรโดยติดไปกับผลผลิตที่ถูกเก็บเกี่ยวออกไป หากเกษตรกรขาดการปรับปรุงบำรุงดินและเติมธาตุอาหารในดินอย่างเหมาะสมเพื่อชดเชยส่วนที่ขาด ก็จะไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช ปุ๋ยเคมีจึงเข้ามามีส่วนช่วยเติมธาตุอาหารที่ขาดในดิน
คำว่า “ปุ๋ยเคมี” หลายคนมองว่าเป็นสารเคมีที่มีความไม่ปลอดภัย ใช้แล้วเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้และผู้บริโภครวมถึงสิ่งแวดล้อม แต่ความเป็นจริงแล้ว ปุ๋ยเคมีผลิตจากหินและแร่ในธรรมชาติ แร่ธาตุในหินบางชนิดสามารถเป็นปุ๋ยเคมีให้พืชใช้โดยตรง เช่น หินฟอสเฟต ให้ธาตุฟอสฟอรัส (P) ซึ่งเป็นธาตุอาหารหลักที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช นอกนั้นส่วนใหญ่ต้องใช้กระบวนการทางเคมีสังเคราะห์ให้กลายเป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่ให้แร่ธาตุอาหารแก่พืช ซึ่งเมื่อใส่ลงไปในดินที่มีความชื้นเหมาะสม ปุ๋ยเคมีจะละลายให้พืชดูดไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ปุ๋ยเคมีบางชนิดก็สังเคราะห์จากสารอินทรีย์ ได้แก่ ปุ๋ยยูเรีย (สูตร 46-0-0) ปุ๋ยเคมีแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ ปุ๋ยเชิงเดี่ยว ปุ๋ยเชิงประกอบ และปุ๋ยเชิงผสม ซึ่งปุ๋ยเชิงเดี่ยว คือ ปุ๋ยเคมีที่มีธาตุอาหารหลัก คือ ไนโตรเจน (N) หรือ ฟอสฟอรัส (P) หรือ โพแทสเซียม (K) ธาตุใดธาตุหนึ่งเพียงธาตุเดียว ปุ๋ยเชิงประกอบ คือ ปุ๋ยเคมีที่มีธาตุอาหารหลักตั้งแต่ 2 ธาตุขึ้นไป เกิดขึ้นจากกระบวนการทางเคมี ได้เป็นสารประกอบทางเคมี ส่วนปุ๋ยเชิงผสมคือ ปุ๋ยเคมีที่มีธาตุอาหารหลักตั้งแต่ 2 ธาตุขึ้นไปเช่นเดียวกัน แต่เกิดจากการนำปุ๋ยเชิงเดี่ยวหรือปุ๋ยเชิงประกอบ หรือเรียกอีกอย่างว่า แม่ปุ๋ย เช่น ยูเรีย (สูตร 46-0-0) ไดเเอมโมเนียมฟอสเฟต (สูตร 18-46-0) โพแทสเซียมคลอไรด์ (สูตร 0-0-60) มาผสมกัน เป็นปุ๋ยสูตรต่างๆ ทั้งในลักษณะเป็นปุ๋ยปั้นเม็ด หรือปุ๋ยผสมแบบคลุกเคล้าให้มีสัดส่วนของธาตุอาหาร N-P-K ตามที่ต้องการ
ปุ๋ยเคมี จำเป็นต่อการผลิตทางการเกษตรเพื่อการแข่งขัน (ยกเว้นการผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์) เพื่อให้ได้ปริมาณผลผลิตและคุณภาพเพิ่มขึ้น แต่ถ้าใส่มากเกินไปก็เป็นการสิ้นเปลืองต้นทุน หรือใส่น้อยเกินไปก็ทำให้ดินเสื่อมโทรม ฉะนั้นสิ่งสำคัญของการใช้ปุ๋ยเคมีควรใช้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อความอุดมสมบูรณ์ของดิน ความต้องการของพืช สอดคล้องกับช่วงเวลาที่พืชต้องการ และใส่ถูกวิธี เช่นในพืชไร่ใส่ปุ๋ยเคมีแล้วต้องพรวนกลบเพื่อป้องกันการสูญเสีย
กรมส่งเสริมการเกษตร ตระหนักถึงปัญหาต้นทุนการผลิตของเกษตรกรที่สูงขึ้นจากการใช้ปุ๋ยเคมีไม่ถูกต้อง จึงมีนโยบายส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแนะนำให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยให้ถูกชนิด ถูกอัตรา โดยการวิเคราะห์ดินก่อนการปลูกพืชหรือก่อนการใส่ปุ๋ย เพื่อทราบความอุดมสมบูรณ์ของดิน ณ ขณะนั้น และใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินหรือปุ๋ยสั่งตัด ซึ่งเป็นการใช้ปุ๋ยเท่าที่จำเป็น (พอดี) กับความต้องการของพืช ลดผลกระทบจากการใช้ปุ๋ยไม่ถูกต้อง โดยเกษตรกรสามารถส่งตัวอย่างดินไปตรวจวิเคราะห์ได้ที่ห้องปฏิบัติการ หรือ ถ้าต้องการคำแนะนำการใช้ปุ๋ยเบื้องต้นที่เหมาะสมกับสภาพดินของตนเองและรวดเร็วใช้บริการได้ที่ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน (ศดปช.) 882 ศูนย์ทั่วประเทศ โดยสอบถามได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านท่าน
อย่างไรก็ตาม แม้ปุ๋ยเคมีจะมีข้อดี คือ มีปริมาณธาตุอาหารพืชสูง ใช้ปริมาณเล็กน้อยก็เพียงพอในการปลดปล่อยธาตุอาหารให้แก่พืชได้รวดเร็ว พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที แต่การใช้ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวไปนานๆ ก็มีผลกระทบต่อดิน ทำให้ดินแข็งไม่ร่วนซุย เพราะปุ๋ยเคมีไม่ได้ช่วยเรื่องปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดิน หรือการใช้ปุ๋ยเคมีบางชนิดอย่างเดียวนานๆ อาจทำให้ดินเป็นกรด โดยเฉพาะปุ๋ยที่มีไนโตรเจนในรูปแอมโมเนียมเป็นองค์ประกอบ ดังนั้น นอกจากการใช้ปุ๋ยเคมีให้ถูกต้องเหมาะสมตามความอุดมสมบูรณ์ของดินและความต้องการของพืชแล้ว ควรใช้ปุ๋ยแบบผสมผสานร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ และอาจรวมถึงปุ๋ยชีวภาพด้วย เนื่องจากปุ๋ยแต่ละประเภทมีบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกัน การใช้ร่วมกันจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเคมี ทำให้พืชดูดธาตุอาหารจากปุ๋ยเคมีที่ใส่ลงไปได้มากขึ้น เพื่อสร้างสมดุลทางระบบนิเวศ ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้น รวมทั้งรักษาทรัพยากรดินให้อุดมสมบูรณ์เพื่อการทำเกษตรกรรมที่ยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี