วันอังคาร ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2561, 20.54 น.
17 ก.ค.61 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สอบถามกรณีที่มีกลุ่มครูออกมาเรียกร้อง ตนจึงชี้แจงกลุ่มวิชาชีพครู รวมตัวกันออกประกาศปฏิญญามหาสารคาม เมื่อวันที่ 14 ก.ค.61 ที่เรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารออมสิน พักหนี้ โครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ ช.พ.ค. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงให้นายกฯรับทราบว่าครูส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย การที่อ้างว่าครูส่วนใหญ่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องนี้คงไม่ใช้และต้องไปดูว่าในทางกฏหมายทำได้หรือไม่ แต่ตนก็ให้ สกสค.ประสารไปยังธนาคารออมสิน เพื่อให้ชี้แจงข้อเรียกร้องของครู เช่น กรณีการซื้อประกันเงินกู้กับธนาคารออมสิน หากไม่ใช้คนค้ำประกันเงินกู้ยืม โดยให้หาวิธีการค้ำประกันอื่นๆแทนด้วย เช่น ใช้หลักทรัพย์ โชนดที่ดิน และข้อเรียกร้องที่ให้ลดออกเบี้ยเงินกู้นั้น ความจริงแล้วกระทรวงศึกษาธิการ โดย สกสค. ก็ได้ทำบันทึกข้อตกลงกับธนาคารออมสินในการลดภาระหนี้สินและลดดอกเบี้ย รวมถึงลดเงินต้นด้วยแล้ว แต่จะเลือกผ่อนชำระซึ่งก็มีครูที่เป็นหนี้กว่า 90% เข้าร่วมโครงการนี้และมีครูอีกไม่ถึง 10% ที่ไม่เข้าโครงการ ทางธนาคารออมสินก็จะต้องไปติดตามลูกหนี้กลุ่มนี้
รมว.ศธ. กล่าวด้วยว่า ส่วนที่ครูกลุ่มนี้ออกมาแถลงปฏิญญา ทำให้ภาพลักษณ์ครูถูกมองไปในทางที่ไม่ดีนั้นก็คงจะเป็นเพียงครูกลุ่มนี้ เพราะกลุ่มอื่นเขาก็ไม่เห็นด้วย ซึ่งก็ถูกสังคมประนามไปแล้วและขณะนี้ครูกลุ่มนี้ก็ถอยแล้ว ส่วนจะผิดจริยธรรมหรือไม่ก็อยู่ที่คุรุสภาจะพิจารณา แต่เท่าที่ทราบครูที่ออกมาเรียกร้องส่วนใหญ่เกษียณฯแล้ว และโครงการนี้มีมากว่า 20 ปีแล้ว ตนก็ไม่ทราบว่าทำไมพึ่งออกมาเรียกร้องในช่วงนี้ ทุกอาชีพ ทุกคนมีหนี้ แต่เป็นเรื่องการบริหารจัดการส่วนตัว ซึ่งครูส่วนใหญ่ก็บริหารจัดการหนี้ของตัวเองได้ดี ซึ่งก็มีกลุ่มครูที่มีหนี้วิกฤติจริงๆ หลักหมื่นคน ซึ่ง สกสค.ก็มีหลายมาตรการช่วยเหลือต่อเนื่องอยู่แล้ว รวมถึงทุกรัฐบาลก็พยายามช่วยเหลือ
“ผมก็ย้ำให้นายพินิจศักดิ์ รวบรวมว่า ที่ผ่านมาศธ.ทำโครงการช่วยเหลือครูที่มีหนี้สินอย่างไรบ้าง ซึ่งผมก็เห็นว่าทำไปหลายโครงการมากและสามารถลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้ครูได้ 3.7 แสนกว่าราย จะเห็นว่าครูมีเงินเดือนเหลือและครูส่วนใหญ่ครูจ่ายหนี้ตามกำหนด ผมจึงยืนยันว่าครูส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นด้วยกับกลุ่มครูที่ออกมาประกาศปฏิณญา เพราะทำให้ภาพลักษณ์ครูไม่ดี ส่วนเรื่องการประกันเงินกู้ยืม ผมก็ให้พินิจศักดิ์ ทำหนังสือถึงดีเอสไอและคณะกรรมการคุ้มครองการประกันภัย ว่าช่วยให้เจรจากับทางธนาคารออมสินทบทวนเรื่องนี้ และดูว่ามีการเอาเปรียบครูหรือไม่ เพราะครูกลุ่มนี้เขาเรียกร้องมาว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งผมก็ทราบว่าทางธนาคารออมสินก็ยินดีทบทวนและให้เปลี่ยนการค้ำประกันได้ คือ ไม่ใช้วิธีซื้อประกันเงินกู้ ไม่ใช้คนค้ำประกันเป็นการใช้ที่ดินค้ำประกันได้ ซึ่งก็ทำได้หลายอย่าง ดังนั้น ผมว่าเรื่องนี้จบลงได้แล้วเพราะครูส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น”
ด้าน นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (กคศ.) และปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ( สกสค. ) กล่าวว่า ตามที่มีกลุ่มครูออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารออมสิน พักหนี้ นั้น ซึ่งโครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2547 มาจะถึงปัจจุบันมีจำนวน 7 โครงการ
โดยโครงการที่ 1 เริ่ม ก.ย. 2547 - ก.ย.2548 มีจำนวนผู้ขอกู้ 37,500 กว่าราย รายละกู้ได้รายละ 2 แสน ส่งคืนเฉพาะดอกเบี้ยเดือนละ 1,100 บาท ส่วนโครงการที่ 2-4 กู้ได้รายละ 2 แสน ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 1,500 บาท และมาถึงจุดเปลี่ยน เนื่องจากครูมีหนี้สินทั้งหนี้นอกระบบและหนี้ในระบบจำนวนมาก จึงมีโครงการรวมหนี้ครูเป็นที่เดียวกัน เพื่อช่วยลดอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าหนี้นอกระบบ จึงมีโครงการที่ 5 ซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2552 และให้ครูกู้ได้ไม่เกิน 600,000 บาท แต่ครูจะต้องส่งทั้งต้นและดอกด้วยเดือนละ 4,100 บาท โดยมีครูขอกู้จำนวน 170,000 กว่าราย และมีโครงการที่ 6 เริ่ม ส.ค.2553 โดยให้กู้รายละ 1,200,000 บาท โดยให้ผ่อนส่งเงินต้นและดอกเบี้ยเดือนละ 7,500 บาท และโครงการที่ 7 ซึ่งเป็นโครงการสุดท้าย เริ่ม ก.ย.2554 - 31 มี.ค. 2558 โดยให้กู้รายละ 3 ล้านบาท และให้ผ่อนชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเดือนละ 23,000 บาท
นายพินิจศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในโครงการ 1-5 จะใช้ ช.พ.ค.มาค้ำประกัน แต่พอเริ่มโครงการที่ 6-7 จะนำเงินจาก ช.พ.ค.ส่วนหนึ่งมาค้ำประกัน ซึ่งปัจจุบัน ช.พ.ค.มีสมาชิก อยู่ประมาณ 9 แสนกว่าราย หากสมาชิกเสียชีวิต ทายาทจะได้รับเงินรายละ 910,000 หลังหัก 4%ไปแล้ว แต่ในจำนวนนี้ ทายาทจะได้รับจริงเพียง 2 แสน ส่วนที่เหลืออีกกว่า 7 แสน เป็นเงินค้ำประกัน เนื่องจากช่วงแรกมีการกำหนดเงื่องไข คือ เลือกบุคคลค้ำประกัน คิด 3 แสนต่อ 1 คน ซึ่งหากกู้ 3 ล้านบาทก็จะต้องใช้คนค้ำ 10 คน หรือซื้อประกันวงเงินสินเชื่อค้ำ ซึ่งครูส่วนใหญ่ก็ซื้อประกันวงเงินสินเชื่อค้ำ แต่จากที่ตรวจสอบจุดที่ทำให้ผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ เกิดจากเป็นหนี้ไตรมาสซึ่งก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
นายพินิจศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน ช.พ.ค.มีสมาชิก จำนวน 980,000 คน ในจำนวนนี้ใช้หนี้ ช.พ.ค.ไปเยอะแล้ว ส่วนยอด ณ วันที่ 30 เม.ย.2561 เหลือคนเป็นหนี้อยู่ จำนวน 483,578 คน ซึ่งทางรัฐบาลได้มอบให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการคลัง ช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินครูที่เกิดขึ้น โดยในวันที่ 14 ก.ย.2559 มีโครงการลดภาระหนี้ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยให้กู้ได้ไม่เกิน 7 แสน แต่รับเงินจริงสูงสุดไม่เกิน 4 แสน ที่เหลืออีก 3 แสนบาท กันไว้เป็นค่าดอกเบี้ยเงินกู้และเป็นหลักประกันของ ช.พ.ค. โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการเพียง 1,700 กว่าราย เนื่องจากโครงการไม่เข้าตาผู้กู้ ดังนั้น ทางรัฐบาลจึงได้เร่งรัดให้กระทรวงศึกษาฯ หารือกับธนาคารออมสิน จึงเกิดโครงการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ เป็นการพักชำระเงินต้น เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยโครงการนี้เริ่ม ต.ค.2560 - ก.ย.2561 การแบ่งชำระดอกเบี้ยมี 3 กลุ่ม กลุ่มแรกดูว่าผู้กู้มีเงินเหลือเท่าไหร่ หากมีเงินเหลือน้อยกว่า 15% ของรายได้ ก็ให้ชำระดอกเบี้ย ร้อยละ25 ของดอกเบี้ยที่ต้องชำระ กลุ่มที่ 2 ถ้าผู้กู้รายใดมีเงินเหลือ 15-30% ให้ชำระดอกเบี้ยไม่น้อยกว่าร้อยละ50 และผมมีเงินเหลือมากกว่า 30% ให้ชำระดอกเบี้ย 100 %เต็ม
ส่วนจำนวนผู้ที่เข้าร่วมโครงการพักชำระเงินต้น 3 ปี ที่มีเงินเหลือน้อยกว่า 15% มีจำนวน 14,800 ราย ผู้กู้ที่มีเงินเหลือ 15-30% เข้าร่วมโครงการจำนวน 10,800 ราย และผมมีเงินเหลือมากกว่า 30% เข้าร่วมโครงการ 7,600 ราย นอกจากนี้มีผู้เข้าร่วมปรับโครงสร้างหนี้อื่นๆอีก 3,100 ราย ซึ่งโครงการนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการรวม 36,300 ราย
นอกจากนี้ รัฐบาลได้มอบให้ศธ. ดำเนินกับธนาคารออมสิน นำเงินที่ธนาคารสนับสนุนบางโครงการ ร้อยละ50สตางค์ -1 บาท ที่เคยคืนให้กับทาง ช.พ.ค.นั้น ก็ให้เปลี่ยนเป็นคืนกลับไปให้ผู้กู้ แต่ทางธนาคารออมสินมีเงื่อนไขว่าจะคือให้เฉพาะผู้กู้ที่มีวินัยการเงินที่ดีโดยลงนามข้อตกลงเมื่อวันที่ 7 พ.ค.2561 และมีผล มิ.ย.2561 และมีผู้กู้ที่มีวินัยทางการเงินที่ดี ได้รับลดอัตราดอกเบี้ยส่วนนั้นแล้ว จำนวน 370,000 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ลดอัตราดอกเบี้ยได้ปีละ 2,500 ล้านบาท และมีลูกหนี้ที่ไม่ได้ลดดอกเบี้ยเพียง 65,000 ราย เนื่องจากยังมียอดหนี้ค้างชำระอยู่ และอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างหนี้หรือบางรายไม่มาปรับโครงสร้างหนี้ สุดท้ายกลุ่มนี้ก็จะไม่สามารถหาตัวได้ ดังนั้น หากดูจากทุกกลุ่มแล้ว น่าจะยังเหลือครูที่มีปัญหาอยู่ประมาณ 20,000 ราย วันนี้ตนก็ได้หารือกับทางธนาคารออมสินแล้วว่าอยากให้หาครูกลุ่มนี้ให้พบ เพื่อหาทางปรับโครงสร้างหนี้
“นับได้ว่าขณะนี้ 4 แสนกว่าราย ที่ยังมีภาระผูกพันนิติกรรมสัญญากับธนาคารออมสินอยู่ และเป็นผู้ที่มีอายุเกิน 60 อยุ่ 110,000 ราย และพ้นจากการเป็นข้าราชการแล้ว ส่วนอีก 300,000 ราย ไม่ได้เป็นข้าราชการครูสังกัดกระทรวงศึกษาเพียงแห่งเดียว แต่สังกัดองค์กรครองส่วนท้องถิ่นด้วย ดังนั้น ครูส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีวิยัยทางการเงินที่ดี และผมก็เชื่อว่าครูส่วนใหญ่ไม่ได้ร่วมประกาศปฏิณญา วันที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน ซึ่งในวันนั้นเป็นการเชิญครูมาประชุมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องของความเป็นครู ความก้าวหน้าครู ประมาณ 400 คน หลังประชุมเสร็จ ครูส่วนใหญ่ก็กลับ และคนที่เป็นตัวตั้งตัวตี ก็อยู่นอกราชการหมด” นายพินิจศักดิ์ กล่าว