ในปัจจุบัน เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มีแรงงานข้ามชาตินับล้านคน ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย ทำงานอยู่ในเมืองไทย และพวกเขาเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ทว่าการเข้ามาของแรงงานเหล่านี้ โดยเฉพาะแรงงานที่ผิดกฎหมาย สิ่งที่ตามมาด้วยคือการควบคุมดูแล ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิมักจะทำได้ยาก ดังนั้นที่ผ่านมา ภาครัฐจึงพยายามเรียกร้องให้แรงงานข้ามชาติ ตลอดจนนายจ้างที่ใช้แรงงานกลุ่มดังกล่าว มาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ช่วงที่ผ่านมา ผู้เขียน ได้เดินทางไปสังเกตการณ์งานเสวนาเรื่องการจัดการแรงงานข้ามชาติก่อนการเปิดอาเซียนปี พ.ศ.2558 จ.อุบลราชธานี ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิรักษ์ไทย ภายในงานมีการเชิญ ตัวแทนภาครัฐ ผู้ประกอบการภาคเอกชน แรงงานข้ามชาติและเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO ) มาร่วมพูดคุย โดยมีแง่มุมหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจยิ่ง
ประเด็นหลักที่วงเสวนาดังกล่าวให้ความสนใจ คือเรื่องของการขึ้นทะเบียนแรงงาน ซึ่งแรงงานข้ามชาติหลายราย เข้าใจดีว่าการขึ้นทะเบียนแรงงานมีประโยชน์อย่างไร เช่นการได้รับความคุ้มครองทั้งด้านค่าจ้าง , สวัสดิการ และการดูแลสุขภาพอนามัย ทั้งนี้แรงงานข้ามชาติที่ถูกกฎหมาย สามารถใช้สิทธิด้านประกันสังคมและสวัสดิการแรงงานต่างๆ ได้เท่าเทียมกับแรงงานไทย
ขณะที่ภาครัฐก็ต้องการให้แรงงานข้ามชาติมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง เนื่องจากทำให้ทราบว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่จำเป็นต้องรู้ ทั้งในเรื่องของการติดตามการเข้าถึงกระบวนการต่างๆของแรงงานข้ามชาติ ทราบถึงจำนวนแรงงานในพื้นที่นั้นๆ ว่าทำงานที่ไหนบ้าง อยู่พื้นที่ใด เพื่อนำไปวางแผนควบคุมดูแล ในเชิงนโยบายภาพรวมของแต่ละพื้นที่ได้อย่างตรงจุด ส่วนภาคเอกชน การที่รัฐมีข้อมูลแรงงานข้ามชาติประเภทต่างๆ ย่อมทำให้ผู้ประกอบการสามารถหาแรงงานได้ตรงตามความต้องการเช่นกัน
ส่วนปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติ ฝ่ายแรงงานกล่าวว่า การที่แรงงานข้ามชาติหลายรายเลือกที่จะละเลย ไม่ขึ้นทะเบียนให้ถูกกฎหมายนั้น ส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และสถานที่ยื่นขอขึ้นทะเบียนมีน้อย เมื่อเทียบกับจำนวนแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากบรรดาผู้ประกอบการ ยังคงนำเข้าแรงงานข้ามชาติมาทดแทนแรงงานไทยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังขาดการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง เนื่องจากแรงงานหลายราย ยังไม่รู้ว่าจะไปขึ้นทะเบียนได้อย่างไร และที่ใดบ้าง
ขณะที่เสียงสะท้อนจากภาครัฐ มองว่าแรงงานหลายรายยังไม่เห็นความสำคัญของการขึ้นทะเบียนเป็นแรงงานถูกกฏหมาย ซึ่งหลังจากนี้จะต้องทำการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น ว่าเมื่อเขาขึ้นทะเบียนแล้วเขาจะมีสิทธิอะไรบ้าง กับอีกประเด็นหนึ่ง แรงงานบางรายเมื่อเปลี่ยนสถานที่ทำงาน ก็จะเปลี่ยนชื่อไปด้วยทำให้การเก็บประวัติทำได้ยาก เช่นกรณีที่ จ.มุกดาหาร มีแรงงานคนหนึ่งอยู่ร้านอาหารนี้ชื่อนางดี แต่พอเปลี่ยนร้านอาหารต่อไป ก็เปลี่ยนชื่อเป็นนางตะวัน คือเปลี่ยนชื่อทุกสถานที่ที่แรงงานย้ายไปทำงาน
ประเด็นต่อมาที่กำลังถูกพูดถึงกันบ่อยครั้ง คือการพิสูจน์สัญชาติ กรณีชาวต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งตัวแทนจากองค์กรพัฒนาเอกชนรายหนึ่ง มองว่าข้อจำกัดที่ทำให้แรงงานไม่สามารถเข้าถึงได้ คือเรื่องของค่าใช้จ่ายที่สูง และมีขั้นตอนยุ่งยาก ดังนั้นหากภาครัฐต้องการให้มาตรการดังกล่าวได้ผล ก็ต้องลดขั้นตอนให้สั้นลง มีหน่วยงานเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบที่ชัดเจน รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายลงตามความเหมาะสม ทั้งนี้ภาครัฐก็จะได้ประโยชน์ในแง่ของความมั่นคง เช่นเมื่อเกิดคดีอาชญากรรมขึ้น เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบประวัติได้ เนื่องจากในการขึ้นทะเบียนและพิสูจน์สัญชาตินั้น ขั้นตอนหนึ่งคือมีการพิมพ์ลายนิ้วมือด้วย
นอกจากนี้ในแง่สุขภาพ อาสาสมัครที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ มองว่า สวัสดิการช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติ ควรจะมีมาตรฐานเดียวกับคนไทยตามสิทธิแรงงาน และมีระบบรวมจ่ายระหว่างนายจ้างกับแรงงาน ไม่ใช่เก็บเฉพาะแรงงานอย่างเดียว ทั้งเสนอแนะให้มีประกันสุขภาพเฉพาะกิจตามฤดูกาลอีกด้วย เนื่องจากแรงงานบางประเภท เช่นภาคเกษตรมักจะทำงานเป็นช่วงเวลา ไม่ได้ทำทั้งปีเหมือนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม
“การซื้อประกันสุขภาพ ทางเราคิดว่าควรมีการขึ้นทะเบียนซื้อประกันสุขภาพตามฤดูกาล เพราะแรงงานที่เข้ามาอยู่ตามชายขอบนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแรงงานที่มาตามฤดูกาล เช่นแรงงานที่เข้ามาช่วงทำนา เก็บเกี่ยวข้าว ฉะนั้นเมื่อมาอยู่ระหว่าง 3-4 เดือนนี้ก็ควรจะมีหลักประกันตามฤดูกาล ตามระยะเวลาความเหมาะสมด้วย ให้มีการปรับเงื่อนไขการพิสูจน์สัญชาติที่สะดวกและเหมาะสม อยากให้มีระบบข้อมูลที่ชัดเจน แรงงานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้
ส่วนความคาดหวังในการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติด้านสุขภาพ อย่างแรกเลยต้องมีราคาค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม ไม่แพงจนเกินไป สามารถเข้าถึงบริการได้ง่ายและมีการบริการที่เป็นมิตร ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก อยากให้เป็นมิตรจะดีที่สุด ต่อมาคือควรมีล่าม เพื่อเวลาสื่อสารกับแรงงานเมื่อมาใช้บริการจะได้เข้าใจมากขึ้น มีระบบเรื่องการส่งต่อที่จะไปโรงพยาบาล ใช้บริการโดยที่ไม่ต้องผ่านนายจ้าง มีการรักษาที่ครอบคลุม เท่าเทียมกับคนไทย” ตัวแทนภาค NGO ระบุ
จากภาพรวมเกี่ยวกับสวัสดิการสุขภาพของแรงงานข้ามชาติ ในส่วนของสิทธิประกันสังคม พบว่าสำนักงานประกันสังคม ยังคงต้องขอความร่วมมือนายจ้าง ให้นำแรงงานข้ามชาติที่ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายแล้ว ไปเข้าระบบประกันสังคมด้วย ซึ่งหากนายจ้างที่มีแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายแต่ไม่นำไปขึ้นทะเบียนประกันสังคม จะมีความผิดตามมาตรา 96 แห่ง พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถือเป็นเสียงเล็กๆ ที่สะท้อนถึงปัญหาของแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในเมืองไทย
พรพจน์ อักษร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี