เมื่อวันที่ 14สิงหาคม คุณหญิงทองทิพ รัตนะรัต ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ในฐานะประธานคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ท่อน้ำมันของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ พีทีทีจีซี รั่วบริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จ.ระยอง แถลงว่า จากการประเมินข้อมูลเบื้องต้น โดยตั้งสมมุติฐานการไหลของน้ำมันออกจากท่อ ในระดับเลวร้ายที่สุด คือหากปริมาณน้ำมันไหลออกจากท่อที่เกิดเหตุทั้งหมด ปริมาณน้ำมันที่ไหลลงสู่ทะเลไม่น่าจะเกิน 54,341 ลิตร
ส่วนสาเหตุที่ท่อน้ำมันดิบแตก ต้องใช้ระยะเวลาตรวจสอบเชิงลึก โดยเบื้องต้นรอยแตกเกิดภายในท่อไม่ได้เกิดจากแรงกระแทกภายนอก ส่วนกรณีคุณภาพของท่อน้ำมันของบริษัทต่างๆนั้น เห็นว่าแม้แต่จีนเองซึ่งใช้ท่อน้ำมันจาก 3 บริษัท ยังไม่สามารถหลีกหนีจากเหตุการณ์ท่อน้ำมันแตกไปได้
ด้าน นายวิเชียร กีรตินิจกาล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กล่าวว่า การโปรยสารเคมีที่มีชื่อว่า ซิลิกอน และซุปเปอร์ดิสเพอร์แซ้นต์ เพื่อสลายคราบน้ำมันนั้น มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศน์ทางทะเลน้อยมาก และยืนยันว่าไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง ไม่ก่อให้เกิดกลายพันธุ์ และไม่เกิดการเสื่อมพันธุ์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เพราะเราไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว โดยสารดังกล่าวเป็นสารเคมีที่ใช้กันทั่วโลกและผ่านมาตรฐานการตรวจสอบแล้ว
ขณะที่ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล รมว.พลังงาน กล่าวถึงกรณี กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลชายหาดและพื้นที่อ่าวต่างๆ รอบเกาะเสม็ด จ.ระยอง พบบริเวณอ่าวพร้าวและอ่าวทับทิม มีปริมาณสารปรอทเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดเอาไว้ว่า โดยส่วนตัวไม่ได้อยากแทรกแซงการทำงานของใคร แต่ได้มอบหมายให้พีทีทีจีซีไปเก็บน้ำมันดิบมาทดสอบ ก็พบว่ามีสารปรอทเฉลี่ย 1.5-2.8 ไมโครกรัมต่อลิตรเท่านั้น ซึ่งเมื่อรั่วไหลลงสู่ทะเลค่าก็ควรจะต่ำกว่านี้ จึงไม่ทราบสาเหตุว่า คพ. มีการเก็บตัวอย่างน้ำมันดิบอย่างไรกันแน่ จึงให้ประสานไปยัง คพ. เพื่อดูรายละเอียดอีกครั้ง
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ค่ามาตรฐานปรอทในคุณภาพน้ำทะเลนั้นต้องไม่เกิน 0.1 ไมโครกรัมต่อลิตร ซึ่งจากผลการสำรวจของ คพ. พบว่า ที่อ่าวพร้าวมีค่าสูงถึง 2.9 ไมโครกรัมต่อลิตร โดยเป็นการเก็บตัวอย่างเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา
วันเดียวกัน นายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) พร้อมด้วย นายบำรุงศักดิ์ ฉัตรอนันทเวช ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก และนายภุชงค์ สฤษฎีชัยกุล ผอ.ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังจากเจ้าหน้าที่ได้ดำน้ำสำรวจแนวปะการังบริเวณใกล้อ่าวพร้าว และอ่าวปลาต้ม เกาะเสม็ด ที่ได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมันรั่วไหลว่า ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ได้สำรวจสภาพปะการังบริเวณพื้นที่ที่มีผลกระทบโดยตรง คือ อ่าวพร้าวและพื้นที่ใกล้เคียง พบว่า แนวปะการังบริเวณพื้นที่อ่าวพร้าวด้านทิศใต้ประมาณ 2 ไร่ เรื่อยไปจนถึงอ่าวปลาต้มพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ ปะการังเกิดการฟอกขาวเป็นกลุ่มๆ มากกว่า 80% ซึ่งแสดงถึงระบบนิเวศในทะเลบริเวณดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ไม่ดีตลอดแนวรวม 6 ไร่
วันเดียวกัน ศาลปกครองพิษณุโลก ได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 398/2552 ระหว่างสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ 1 โดย นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กับพวกรวม 32 คน ที่ยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ 1 คณะกรรมการควบคุมมลพิษ ที่ 2 คณะกรรมการพัฒนาที่ดิน ที่ 3 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 4 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ 5 และอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ที่ 6 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร กรณีปัญหาแคดเมียมลุ่มน้ำแม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก โดยมีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจาก 3 ตำบลในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ตาวกว่า 100 คน เดินทางมาร่วมรับฟังคำพิพากษาด้วย
ทั้งนี้คดีดังกล่าว โจทก์ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองพิษณุโลกเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม โดยชี้ว่า หน่วยงานภาครัฐปล่อยปละละเลยและใช้อำนาจอนุญาตให้มีเหมืองแร่สังกะสีในบริเวณพื้นที่ต้นน้ำ จนทำให้เกิดการแพร่กระจายของสารแคดเมียมไปในพื้นที่นาข้าวของชาวบ้านใน 3 ตำบล คือ ต.แม่ตาว ต.แม่กุ และ ต.พระธาตุผาแดง อ.แม่สอด ทำให้ผลผลิตข้าวของชาวบ้านปนเปื้อนสารแคดเมียม ไม่สามารถทำนาได้ตามปกติ
โดยศาลปกครองพิษณุโลก ได้อ่านคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติดำเนินการกำหนดให้พื้นที่ลุ่มน้ำแม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมภายใน 90 วันนับแต่คดีถึงที่สุด ส่วนคำขอกรณีอื่นนั้นให้ยก
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า คำพิพากษาวันนี้นับว่าเป็นผลดีต่อชาวบ้านทั้ง 3 ตำบล ถือเป็นข้อมูลสำคัญ อาจเกี่ยวเนื่องกับอีกคดีที่ได้ยื่นฟ้องศาลแพ่งกรุงเทพใต้ไปแล้ว โดยเรียกค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนกว่า 3,000 ล้านบาทจากผู้ประกอบการเหมืองแร่ ซึ่งศาลนัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 29 กันยายนนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี