ไฟเขียวหมายจับแก๊งM79
ล่า7เสื้อแดง
ถล่มราชดำริเป้าฆ่ากปปส.
ตร.ยันทำงานเป็นเครือข่าย
ลั่นโยงใครอีกเช็คบิลทันที
คสช.ชี้รธน.ชั่วคราวใช้ก.ค.
สะพัดเพื่อไทยซุกงบ834ล.
พาหัวคะแนนทัวร์ทั่วไทย
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 14 กรกฎาคม พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.)
พร้อมคณะทำงานสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดียิงเอ็ม79 ถล่มห้างบิ๊กซีราชดำริ ช่วงที่มีการชุมนุมกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต แถลงความคืบหน้าคดีที่มีการออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติม
M79ยิงกปปส.ทำเป็นขบวนการ
โดย พล.ต.อ.สมยศ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนเร่งติดตามจับกุมกลุ่มผู้ต้องสงสัยคดีสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมทางคดี เฝ้าจับตากลุ่มผู้ต้องสงสัยที่เชื่อว่า จะมีความเชื่อมโยงกับหลายเหตุการณ์ เช่น คดียิงเอ็ม79 ใส่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.แจ้งวัฒนะ คดียิงลูกระเบิดใส่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาราชดำริ โดยจะรวบรวมพยานหลักฐานไปขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องสงสัย ซึ่งมีประมาณ 6-7คน สำหรับพฤติการณ์ของกลุ่มคนร้าย จะมีผู้จัดหาอาวุธสงครามผู้ประสานงาน และผู้ที่นำอาวุธสงครามไปใช้ก่อเหตุ โดยทั้งหมดมีการวางแผนร่วมกันเป็นขั้นตอนชัดเจน จากข้อมูลเชิงสืบสวนกลุ่มคนร้ายมีด้วยกัน 9-10คน แต่ที่มีหลักฐานมัดตัวแล้ว 6-7คน
ผู้ต้องหาสารภาพทำแล้วหลายจุด
ส่วน นายณรงค์ศักดิ์ พลายอร่าม ผู้ต้องหาที่หลบหนีหมายจับรายงานตัวของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และผู้ต้องหาที่ก่อเหตุยิงเอ็ม79 ใส่อาคารสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี, อาคารชินวัตร3และแยกสาวณีย์ ถนนสวรรคโลก หลังถูกคุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพเมื่อวันที่ 13กรกฎาคม พนักงานสอบสวนได้ส่งตัวไปอยู่ในความดูแลของทหารและอยู่ระหว่างสอบปากคำอย่างละเอียดเพิ่มเติม โดยมีรายงานว่า ผู้ต้องหารับสารภาพว่า ยังไปก่อเหตุในจุดอื่นๆอีก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพิสูจน์ข้อเท็จจริง
ออกหมายจับ7โจรถล่มราชดำริ
ต่อมา เวลา 15.00น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 7ราย ในคดียิงเอ็ม79 ใส่กลุ่ม กปปส.หน้าห้างบิ๊กซี สาขาราชดำริ เมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ ด.ช.กรวิชญ์ ยศอุบล อายุ 4ปี ด.ญ.พัชรากร ยศอุบล อายุ 6ปีและน.ส.ฐิพาพรรณ สุวรรณมณี อายุ 59ปี เสียชีวิต รวมถึงมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 21คน โดยผู้ต้องหา 7ราย ประกอบด้วย 1.นายทวีชัย วิชาคำ 2.นายสาทร ผิผ่วนนอก 3.นายสุขสันต์ ล้อมวงศ์ 4.นายสมศรี มาฤทธิ์ 5.นายชัชวาล ปราบบำรุง 6.นางกรรณิการ์ วงศ์ตัวและ7.นายวิเชียร สุขภิรมณ์ การขออนุมัติหมายจับดังกล่าวสืบเนื่องจาก พล.ต.อ.สมยศ สั่งให้เจ้าหน้าที่ขยายผลการสืบสวนมาจากคดีของ นายณรงค์ศักดิ์ พลายอร่าม ผู้ต้องหายิงเอ็ม79 ใส่กลุ่ม กปปส.ถนนสวรรคโลก เลียบทางรถไฟ เมื่อวันที่ 29มีนาคม2557 จนพบความเชื่อมโยงไปยังกลุ่มคนร้ายที่ถูกออกหมายจับดังกล่าว
สอบโยงถึงใครขอหมายจับทันที
พล.ต.อ.สมยศ เปิดเผยอีกครั้งว่า จากการสืบสวนทำให้ตำรวจสามารถคลี่คลายคดีต่างๆได้มากขึ้นและปัจจุบันรู้ตัวผู้อยู่เบื้องหลังที่เป็นผู้ให้อาวุธและจ้างวานผู้ต้องหาคดีต่างๆแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเป็นความลับทางราชการ โดยตำรวจจะเร่งจับกุมผู้กระทำผิดโดยเร็วและจะดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด พร้อมเชื่อว่าหลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้แน่นหนาพอที่จะจับกุมผู้กระทำผิดได้ โดยคดีที่เชื่อมโยงกับกลุ่ม กปปส.ตอนนี้มีถึง 46 คดีและกระทำเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย หากตำรวจจับผู้ต้องหาทั้ง 7คนได้ จะสืบสวนขยายผล ถ้าคำรับสารภาพของผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นที่ไม่มีหมายจับ เจ้าหน้าที่จะรวบรวมหลักฐานยื่นศาลออกหมายจับทันที
บรวงสรวงพระพรหมทำเนียบ
ก่อนหน้านั้น เวลา 09.50น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการจัดพิธีบวงสรวงสักการะบูชาพระพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล ซึ่งได้เริ่มในเวลา 10.00น.โดยเชิญ พระราชครูวามเทพมุนี (พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ) ประธานพระครูพราหมณ์ เป็นผู้ประกอบพิธีบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน พร้อมข้าราชการระดับสูงทุกหน่วยงานประจำทำเนียบรัฐบาล ได้สักการะพระภูมิเทวาและศาลปู่ย่าตายาย ก่อนบวงสรวงสักการะพระพรหม ที่บริเวณสนามหญ้า หน้าตึกไทยคู่ฟ้า พีธีบวงสรวงสักการะทางเจ้าหน้าที่ได้นำของเซ่นไหว้พระพรหม ประกอบด้วยผลไม้มงคล 9อย่าง คือ 1.แอปเปิ้ล 2.แคนตาลูป 3.มะม่วง 4.ขนุน 5.สัปะรด6.มะพร้าวน้ำหอม 7.กล้วย 8.องุ่น และ9.ส้ม รวมถึงขนมหวานนานาชนิด รวมถึงถั่วขาว ถั่วดำ ถั่วเขียวและเนย เป็นต้น
เพื่อศิริมงคลก่อนรบ.เข้าทำงาน
ม.ล.ปนัดดา ให้สัมภาษณ์ว่า การจัดพิธีครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล เพราะที่ผ่านมามีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายในพื้นที่ข้างเคียงและในทำเนียบฯ จึงมีความคิดที่จะได้ร่วมใจทำบุญถวายพระพรหมเพื่อเป็นสิริมงคลในการทำงานของข้าราชการทุกคนตลอดไป โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(สคช.)ไม่ได้เข้ามาร่วม แต่มอบหมายให้ตนในฐานะข้าราชการประจำ มาทำหน้าที่ให้เกิดความเรียบร้อย
ยันงบ300ล้านต้องใช้ให้คุ้มค่า
ม.ล.ปนัดดา ยังกล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฝ่ายกิจการพิเศษ ได้สั่งการให้ตั้งคณะทำงานดูแลอาคารสถานที่ในทำเนียบรัฐบาลและสถานที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น บ้านพิษณุโลกและบ้านมนังคสิลา เพื่อเตรียมรับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 2เดือน ว่า เพื่อซ่อมแซมอาคารในทำเนียบฯซึ่งเป็นตามคำสั่งที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ โดยรายละเอียดการดำเนินการทั้งหมด สำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบ แม้งบประมาณจะสูงถึง 300ล้านบาท แต่ความทรุดโทรมและไม่เคยซ่อมแซมเป็นเวลานาน จึงขอให้ช่วยกันพิจารณา พร้อมยืนยันว่า การใช้งบประมาณจะเป็นไปอย่างคุ้มค่าและพอเพียง ไม่ฟุ่มเฟือย เพื่อเป็นหน้าตาของประเทศ สำหรับสัดส่วนสภาปฏิรูปในส่วนของข้าราชการนั้น ข้าราชการประจำไม่ได้เกี่ยวข้องในส่วนนี้ คงเป็นฝ่ายที่ดูแลรับผิดชอบโดยตรงและเรื่องสภาปฏิรูปเป็นเรื่องของผู้บังคับระดับสูงที่จะกำหนดและแต่งตั้งว่า เป็นใคร
ฮือฮาเกิดพระอาทิตย์ทรงกลด
จากนั้น เวลา 11.45น.จึงทำพิธีบวงสรวงพระพรหม โดยมีพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ ประกอบพิธี ซึ่งทันทีที่เริ่มพิธีได้เกิดปรากฎการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดนานประมาณ 15นาที สร้างความฮือฮาให้กับผู้ร่วมพิธี หลังทำพิธี พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ กล่าวว่า ถือเป็นประเพณีของผู้จะเข้าปฏิบัติงานในทำเนียบฯเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงต้องบวงสรวงพระพรหมเพื่อความเป็นมงคลเริ่มต้นทำงาน ส่วนที่ถือฤกษ์เวลา 11.45น.ประกอบพิธี เพราะจากปฏิทินสุริยยาตร์ ถือเป็นเวลามหาฤกษ์ เห็นได้ว่าปรากฎการณ์พระอาทิตย์ทรงกลด ซึ่งถือเป็นวันดี ลางดี เป็นสิริมงคล ไม่ได้แก้คุณไสย์การชุมนุมทางการเมืองอย่างที่เป็นข่าว
สั่งทำลายปืน3หมื่นกระบอก
ด้าน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รักษาราชการแทน ผบ.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร.ร่วมตรวจสอบปืนของกลางภายในคลังเก็บอาวุธ กองสรรพาวุธ สำนักงานส่งกำลังบำรุง ซึ่งเป็นอาวุธที่คดีความสิ้นสุดลงแล้วและเตรียมนำส่งทำลายที่โรงหลอมเหล็ก จ.สมุทรปราการ ในวันที่ 15กรกฎาคมนี้
พล.ต.อ.วัชรพล เปิดเผยว่า อาวุธทั้งหมดเป็นปืนที่ศาลมีคำสั่งริบและคดีสิ้นสุดแล้วตั้งแต่ปี2543-2556 การทำลายครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10ปี เพื่อป้องกันไม่ให้อาวุธเหล่านี้ถูกลักลอบนำกลับไปใช้ก่อเหตุอาชญากรรม สำหรับอาวุธปืนที่ตรวจยึดในช่วงประกาศกฎอัยการศึก ยังไม่นำมาทำลาย เพราะอยู่ระหว่างตรวจสอบดำเนินคดี
พล.ต.ท.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รองจเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานการตรวจสอบและทำลายอาวุธปืนของกลางที่คดีถึงที่สุดแล้ว เปิดเผยว่า การทำลายอาวุธปืนครั้งนี้มีจำนวน 34,350กระบอก แบ่งเป็นปืนสั้นกว่า 20,000กระบอกและปืนยาวกว่า 10,000กระบอก
รธน.ชั่วคราวประกาศใช้กค.นี้
ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. กล่าวถึงกรณีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองชั่วคราวว่า ตอนนี้มีการดำเนินการเสร็จแล้ว คาดว่าในเดือนกรกฎาคมนี้ น่าจะประกาศใช้ สำหรับช่องทางในการทูลเกล้าฯประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวมีอยู่ 2ช่องทาง คือ 1.ช่องทางหลักที่ดำเนินการยื่นฝ่ายเอกสาร แล้วมีการประกาศใช้ หรือ 2.หัวหน้าคณะ คสช.โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไปเข้าเฝ้าเพื่อให้มีพระปรมมาภิไธยโปรดเกล้าฯประการใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ทั้งสองช่องทางขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหัวหน้า คสช.
แก้กม.ล้าสมัยให้ทันยุคปัจจบัน
พล.อ.ไพบูลย์ ยังกล่าวถึงการแก้ระบบกฎหมายยหลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ว่า การแก้ไขกฎหมายทั้งหมด ทุกๆเรื่องทุกประเด็นที่ล้าหลังไม่เข้ากับสภาพบริบทสังคมในปัจจุบัน ซึ่งทาง คสช.จะนำมาแก้ไขให้เป็นระบบกฎหมายที่ทันสมัยมีความยุติธรรม จะเห็นว่าที่ผ่านมา 7เดือน ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองนั้นมีกฎหมายที่อยู่ในชั้นสภาฯ หรือกฎหมายที่รอการประกาศใช้ และกฎกระทรวงยังค้างคางอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น คสช.จะเอามาแก้ไขดำเนินการโดยเร็วที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ที่ผ่านมา คสช.ก็ได้ออกกฎหมายไปแล้วบางส่วน โดยกฎหมายที่ออกไปนั้น แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ 1.ออกโดย คสช.เข้ามาบริหารประเทศ ผ่านคำสั่ง หรือประกาศต่างๆของ คสช.2.ออกในชั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นกระบวนการของกฎหมายที่มีเนื้อหาสาระมาก จึงทำให้ไม่สามารถออกเป็นประกาศ หรือคำสั่ง คสช.ได้ และ3.ออกกฎหมายโดยกระบวนการสุดท้ายที่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ถก2สภาขั้นตอนประชุมสนช.
ทางด้าน นางนรรัตน์ พิมเสน เลขาธิการวุฒิสภา เปิดเผยว่า วันที่ 15กรกฎาคม จะประชุมคณะทำงานร่วม 2 สภา คือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาและคณะกรรมการประสานงานร่วม เพื่อพิจารณาลำดับขั้นตอนการทำงานและเตรียมความพร้อมด้านระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวข้องให้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ที่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่หลังจากรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ในเร็วๆนี้ เพื่อให้การทำงานของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาที่คาดว่าจะได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ฐานะฝ่ายเลขาธิการสนช.ทำงานได้รวดเร็ว เบื้องต้นจะนำข้อบังคับการประชุมสนช.เมื่อปี2550และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องมาพิจารณา แต่ยังไม่ถือว่าข้อบังคับดังกล่าวจะเป็นข้อสรุปเพื่อให้สนช.ชุดใหม่เป็นกรอบการทำงาน เนื่องจากต้องพิจารณารายละเอียดของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก่อนว่า มีบทบัญญัติเช่นไร เบื้องต้นอาจใช้ข้อบังคับการประชุมสนช.ปี2550 อย่างอนุโลมในการประชุมนัดแรก จากนั้นสนช.ต้องยกร่างข้อบังคับการประชุมให้มีเนื้อหาสอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญใหม่
คาดนำข้อบังคับปี2550มาใช้
“ส่วนตัวมองว่า ข้อบังคับการประชุมสนช.ปี2550 อาจถูกใช้อนุโลมในครั้งแรกของการประชุมสนช.จากนั้นสนช.จะเป็นผู้ยกร่างข้อบังคับและระเบียบอื่นๆ ดังนั้นเราต้องเตรียมข้อมูลและรายละเอียดให้ว่า มีระเบียบ หรือข้อบังคับใดบ้างที่จะต้องมี คือ เราต้องเตรียมงานเอาไว้ให้ทุกด้าน เพื่อความรวดเร็วของการทำงาน แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบว่า วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรจะได้รับมอบหมายให้ดูสภาใด”นางนรรัตน์ กล่าว
เมื่อถามถึง มาตรการป้องกันปัญหาของการออกกฎหมายโดย สนช.ที่ก่อนหน้านี้มีการท้วงติงว่า ผ่านโดยองค์ประชุมไม่ครบ นางนรรัตน์ กล่าวว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ร่างพรบ.ที่ผ่านการพิจารณาและมีผลเป็นกฎหมายบังคับใช้และศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเป็นเฉพาะเรื่อง แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยก็ต้องปฏิบัติตามนั้น ส่วนการทำงานของสนช.ที่ผ่านมาได้ทำตามข้อบังคับ โดยข้อบังคับฉบับเดิมนั้นมีความสมบูรณ์แล้วแต่อาจมีเพียงความเห็นที่ต่างกัน ดังนั้นการกำหนดมาตรการอย่างใดหรือไม่ขึ้นอยู่กับ สนช.ชุดใหม่
แฉพท.ซุก800ล.ขนหัวคะแนนทัวร์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ คสช มีนโยบายเร่งรัดให้หน่วยงานราชการเบิกจ่ายงบประมาณปี2557 ก่อนสิ้นปีงบประมาณในวันที่ 30กันยายน2557 ปรากฏว่า มีการดันงบหาเสียงและเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยพาหัวคะแนนและผู้สนับสนุนพรรคแกนนำรัฐบาลชุดที่แล้ว ไปสัมมนาต่างจังหวัดจำนวนมาก โดยในส่วนของการเคหะแห่งชาติ ซึ่งอยู่ภายใต้กำกับของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่มี นางปวีณา หงสกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกำกับดูแลอยู่ ได้ตั้งงบประมาณส่วนนี้ไว้กว่า 834,336,200บาท โดยระบุเป็นงบอุดหนุนในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ในหมวดของค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งงบดังกล่าวสามารถพาหัวคะแนนและฐานเสียงไปสัมมนาต่างจังหวัดได้ถึง 200เที่ยว แต่ละเที่ยวนำประชาชนไปได้ 350 คน โดยจะเดินทางครั้งแรกวันเสาร์ที่ 19กรกฎาคมนี้ เริ่มในเขตกรุงเทพฯโซนตะวันออกก่อน โดยอ้างว่าเงินส่วนนี้ได้รับสนับสนุนจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี ทั้งที่เป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี