‘บิ๊กตู่’ทำคลอด250สปช.
ทูลเกล้าฯ2ตค.
การันตีไม่มี‘ล็อก’สเปก
อ้างมีอำนาจเต็มที่อยู่แล้ว
ยังไม่เลิกจัดคืนความสุขฯ
มติสนช.ไฟเขียวข้อบังคับ
ลุ้นถอดถอนนักการเมือง
เมื่อวันที่ 25 กันยายน ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์กรณี มีข่าวว่าจะยกเลิกจัดรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์ รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยทุกวันศุกร์ว่ายังออกอากาศเหมือนเดิม ไม่ได้ยกเลิกและอาจจจะใช้วันหยุดพบปะประชาชนด้วยเพราะปัญหามีมาก อยากจะรบกวนเวลาเล็กน้อยเท่านั้นเพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องสำคัญๆ
“ผมอยากให้ทุกคนรับทราบว่า รัฐบาลจะเดินหน้าอย่างไร ไม่ได้มุ่งหวังที่จะกดดันใครทั้งสิ้น สำหรับผมคงไม่เพิ่มวันจัดรายการเพราะคนคงเบื่อแย่ ทุกวันนี้ก็เบื่อหน้าตัวเองจะแย่อยู่แล้ว วันศุกร์วันเดียวก็พออยู่แล้ว จะให้พูดอะไรนักหน้า วันๆเอาแต่พูด จะไปหากินทางการพูดดีกว่าหรือไม่ และหากพูดอะไรไปมาเดี๋ยวจะทำไม่ทัน เพราะทุกวันนี้ต้องพูดด้วยทำด้วย ปวดหัวอยู่”นายกรัฐมนตรี กล่าว
‘บิ๊กตู่’เน้นแก้ปัญหาทั้งระบบ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเราแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เมื่อเรากลับมาแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ปัญหามันจึงเยอะ แต่จะดีในระยะยาวที่จะแก้ปัญหาได้ทั้งระบบ ดังนั้นเราต้องย้อนกลับมาที่ปัญหาเดิม ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีคนอยากทำ แต่พวกเราก็จะทำ
“ในระหว่างต้นถึงปลายเหตุ เราก็จะแก้ที่ต้นเหตุด้วยและระหว่างนี้เราก็จะดูปัญหาที่กลางเหตุ ทั้งเรื่องลดความเหลื่อมล้ำ พ่อค้าคนกลาง การขนส่ง รวมถึงราคาสินค้า ส่วนปลายเหตุถ้าพบความเดือดร้อนตรงไหน ก็จะมีมาตรการเร่งด่วนและเฉพาะหน้า แต่ที่เราคิดไม่ใช่ประชานิยมและเราจะทำให้ประชาชนเกิดความมั่นคงยั่งยืนวันนี้เราทำแบบใหม่ด้วยการแก้ปัญหาทั้งองค์กร ทั้งระบบและเชื่อมโยงทุกมิติ ฉะนั้นก็มีความยุ่งยาก สับสน ไม่เข้าใจ ดังนั้นต้องมีทั้งได้ทั้งเสีย แต่คนที่เสียคือ คนที่รายได้น้อย เพราะขณะนี้ค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อย ขอให้ทุกคนช่วยชาติ โดยเฉพาะพ่อค้าคนกลาง พ่อค้าขายส่ง ขอให้ช่วยลดราคา ลดกำไรลงบ้าง ตนคงบังคับไม่ได้ แต่ขอให้เข้าใจนโยบายของรัฐบาลขณะนี้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ขึ้นป้ายค่านิยม12ประการเอาใจ
ด้าน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการปรับเปลี่ยนการออกอากาศรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ว่า ยังไม่ทราบ แต่ถ้าเปลี่ยน หรือจะเพิ่มรายการ หรือจะปรับอย่างไรช่อง11 กรมประชาสัมพันธ์ ก็พร้อมในการถ่ายทอดเสมอ ซึ่งต้องรอคำสั่งจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) ก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บริเวณหน้าอาคารสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ทำเนียบรัฐบาล คนงานได้ทำการขึ้นป้ายค่านิยม 12ประการของนายกรัฐมนตรี ที่สกรีนข้อความลงบนแผ่นป้ายผ้าใบไวนิล อิงค์เจ็ท ซึ่งมีความยาวตลอดแนวช่วงอาคาร
ให้ขรก.เกษียณถ่ายรูปที่ระลึก
ต่อมา เวลา 10.15น.ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางมาร่วมประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง หรือเทียบเท่าประจำเดือนกันยายน ที่ตึกสันติไมตรีหลังใน โดยก่อนเข้าประชุม พล.อ.ประยุทธ์ เปิดโอกาสให้ปลัดกระทรวงหรือผู้ที่เทียบเท่า ที่จะเกษียณอายุราชการปี2557 จำนวน 6คน อาทิ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)และนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้ร่วมบันทึกภาพเป็นที่ระลึก พร้อมเปิดโอกาสให้หัวหน้าส่วนราชการที่เข้าร่วมประชุมได้ร่วมถ่ายรูปหมู่ เนื่องจากเป็นการประชุมระดับปลัดกระทรวงครั้งแรกหลังจากมอบนโยบายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ เดินจากตึกไทยคู่ฟ้า ไปยังตึกสันติไมตรีเพื่อเข้าร่วมประชุมนั้น ได้ยิ้มทักทายผู้สื่อข่าวที่มารอทำข่าวและยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากส่งสัญญาณว่า จะยังไม่พูดและชี้นิ้วมือไปที่ห้องประชุม ก่อนเดินทางเข้าสู่ที่ประชุมทันที
เคาะชื่อสปช.-ทูลเกล้าฯ2ตุลาฯ
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เปิดเผยว่า วันที่ 26กันยายน ตนได้นัดประชุม คสช.ที่กองบัญชาการกองทัพบก เพื่อพิจารณาคัดสรรรายชื่อบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ส่งรายชื่อผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามา เพราะจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 2ตุลาคมนี้
ไร้ล็อกสเปก-ไม่ได้หวังอำนาจ
“รายชื่อ สปช.ไม่มีการล็อก ผมจะล็อกอย่างไรยังนึกไม่ออก แล้วจะล็อกไปเพื่ออะไร เพื่ออำนาจ ก็อำนาจผมมีอำนาจอยู่แล้ว ต้องหาอำนาจเพิ่มอีกหรือ ผมต้องการปฏิรูป ฉะนั้นคนที่จะคัดเข้ามา 173คน ก็มาจาก 550คน ที่เขาเลือกมาจาก 7,000กว่าคน โดยคณะกรรมการ 70กว่าคนและผมได้ให้เขาจัดลำดับเรียงอาวุโสความรู้ความสามารถมา แล้วจะมาเลือกโดยพูดคุยกันใน คสช.ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมมีอำนาจ เพียงแต่ตรวจทานความถูกต้อง ขณะที่ทาง กกต.ได้เช็คเรื่องคุณสมบัติไว้แล้วโดยรายชื่อจะไม่ลงว่า อยู่กลุ่มไหน ส่วน 385คน จาก 77จังหวัด ก็ส่งรายชื่อมาแล้วจังหวัดละ 5คน ตรงนี้ก็เรียงลำดับความรู้ความสามารถโหวตกันเข้ามา ผมก็จะมาดูอีกครั้ง 5คนเลือกเอา 1คน ก็จะได้รวมทั้งหมด 250คน จะตีเรียงกันมาโดยไม่มีกลุ่ม วันที่ 26กันยายน คงยุติ เพื่อให้มีเวลาเสนอรายชื่อทูลเกล้าฯตามกฎหมาย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
‘ประจิน’แย้มดึงหลุดโผช่วยงาน
ด้าน พล.อ.ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นัดประชุมคณะ คสช.เพื่อคัดเลือกผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิก สปช.ให้เหลือ 250คน ว่า เบื้องต้น พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เลขาธิการ คสช.ได้แจ้งให้ทราบว่า หัวหน้า คสช.นัดประชุมคณะ คสช.เพื่อคัดเลือกสมาชิก สปช.จาก 550คน ให้เหลือ 250คน ส่วนหลักการคัดเลือกนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งในที่ประชุม ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ไม่มีการล๊อคสเปก ส่วนการคัดสรรจะแล้วเสร็จในวันที่26กันยายนหรือไม่นั้น ยังไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม ในจำนวนผู้สมัคร สปช.550คน หากไม่มีรายชื่อติดอยู่ใน 250 คน หากมีความมุ่งมั่น ตั้งใจทำงาน คสช.จะพิจารณาจัดสรรงานให้ทำ ผ่านรูปแบบคณะกรรมาธิการ หรืออนุกรรมการด้านต่างๆเพื่อทำงานคู่ขนานกับ สปช.
คณบดีมม.หนุน”รัชตะ”นั่งควบ
นายวรวิทย์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล(มม.) เป็นตัวแทนแถลงให้กำลังใจ ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน อธิการบดี มม.กรณีได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็น รมว.สาธารณสุข โดยระบุว่า การเข้ารับตำแหน่งดังกล่าว ถือเป็นโอกาสที่จะได้ใช้ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ในการช่วยพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชนไทย ซึ่งภาวะการณ์ในขณะนี้จำเป็นต้องมีคนดีช่วยชาติ พร้อมเชื่อมั่นว่า ศ.นพ.รัชตะ จะทำหน้าที่ได้ดีในทั้งสองบทบาท แต่กรณีนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ ศ.นพ.รัชตะ ว่า จะเลือกอย่างไร ซึ่งตนเองเคารพในการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า มีหลายฝ่ายที่สนับสนุนให้ทำงานทั้ง 2ตำแหน่ง แต่ไม่มีใครกล้าออกมาพูด
นายวรวิทย์ กล่าวอีกว่า สำหรับความกังวลว่า การดำรงทั้ง 2ตำแหน่งของ ศ.นพ.รัชตะ จะสร้างบรรทัดฐานให้สังคมนั้น คิดว่าไม่ใช่ เพราะขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในภาวะไม่ปกติ ทำให้การเข้าทำหน้าที่ รมว.สธ.นั้น ไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมือง แต่เป็นการเข้ามาช่วยชาติ ซึ่งหากบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติแล้วก็จะคืนสู่กติกาเดิม ขณะที่การแสดงออกด้วยการนำปี๊บคลุมหัวของ รศ.ดร.สุกรี เจริญสุข คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดลนั้น เป็นสิทธิและสไตล์ ที่แต่ละคนสามารถแสดงออกได้
สนช.ลงมติตั้งกมธ.ไม่เกิน26คน
วันเดียวกัน ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีการพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุม สนช. ซึ่งคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ที่มี นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช.คนที่2 เป็นประธานคณะกมธ.ได้พิจารณาเสร็จแล้ว จำนวน 221ข้อ สำหรับการอภิปรายในช่วงแรกสมาชิก สนช.จำนวนหนึ่งนำโดย นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิก สนช.แสดงความไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของคณะกมธ.ที่เพิ่มจำนวนกรรมาธิการแต่ละคณะเป็นไม่เกิน 26คน จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 21คน โดยนายวัลลภ กล่าวว่า การกำหนดให้มีกมธ.จำนวนไม่เกิน 268น จะมีผลให้จำนวนสมาชิกสนช.ในแต่ละคณะกมธ.มีความไม่สมดุลกัน เช่น บางคณะกมธ.จะมี 26คนเต็มจำนวน ขณะที่อีกบางคณะกมธ.จะมีกมธ.แค่ไม่กี่คน ซึ่งจะทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่ เพราะปัจจุบันมีสมาชิกสนช.ปฏิบัติหน้าที่อยู่ 192คน
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกสนช.ในฐานะรองประธานคณะ กมธ.ชี้แจงว่า การเพิ่มจำนวนกมธ.ในแต่ละคณะนั้นมาจากการคิดจากสมมติฐานที่มีสนช.จำนวน 220 คน เต็มจำนวนตามที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวกำหนด ดังนั้น หาก ในอนาคตมีการแต่งตั้งสมาชิกสนช.เพิ่มจากเดิมที่มีอยู่ 192คน จะช่วยให้สมาชิกสนช.ทุกคนสามารถทำหน้าที่ในคณะกมธ.ได้ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม สนช.มีมติเสียงข้างมาก147 ต่อ 22เสียง เห็นชอบให้มี กมธ.ในแต่ละคณะได้ไม่เกิน 26คน
ถกหมวด10-ถอดนักการเมือง
เวลา 13.10น.ได้เปิดประชุมอีกครั้ง ซึ่ง นายพีรศักดิ์ ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมถึงถ้อยคำที่แก้ไขว่า คณะกรรมาธิการได้แก้ไข ข้อ84(13)ให้กลับไปสู่ร่างเดิม คือ(13)คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ ส่วนเรื่อง “ความมั่นคง”ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ กิจการทหาร ให้นำไปรวมใน ข้อบังคับที่ 84 (2) คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งที่ประชุมเห็นด้วยกับการแก้ไขดังกล่าว
จากนั้นได้พิจารณามาถึงหมวด10 เรื่องการถอดถอนและการให้บุคคลพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งกรรมาธิการไม่ได้มีการแก้ไข แต่ นายธานี อ่อนละเอียด สนช.ได้สงวนคำแปรญัตติ โดยให้เหตุผลว่า หากให้ความเห็นชอบจะเป็นการเรียกแขกและเป็นกับดักสะเทือนเก้าอี้ประธานและรองประธาน สนช.เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี50 ไม่ได้ระบุเรื่องการถอดถอนไว้
ขณะที่ นายตวง อันทะไชย กรรมาธิการยกร่างข้อบังคับการประชุม ชี้แจงว่า ไม่สามารถตัดหมวดการถอดถอนได้และสนช.มีอำนาจยกร่างข้อบังคัการประชุม สนช.เรื่องการถอดถอนได้ ตามมาตรา6 ของรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว)ปี2557 ที่ให้ สนช.ทำหน้าที่แทน สส.และสว.และอำนาจตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระบุให้ สว.มีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ 17ตำแหน่ง ดังนั้นข้อบังคับนี้ จึงไม่ได้ร่างขึ้นมาเพื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ยกร่างมารองรับ พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญ อีกทั้งแนวทางที่นำมาใช้ก็นำมาจากข้อบังคับการประชุมปี2551 ทุกอย่าง
ผ่านฉลุยมีผลบังคับใช้26กันยา
จากนั้นที่ประชุมลงมติให้ความเห็นชอบหมวด 10 เรื่องการถอดถอนตามที่คณะกรรมาธิการฯ เสนอมาด้วยคะแนน128 ต่อ9เสียง ภายหลังพิจารณาครบทั้ง 221ข้อบังคับแล้ว ที่ประชุมให้ความเห็นชอบร่างข้อบังคับการประชุม สนช.พ.ศ....ด้วยคะแนน 148เสียง งดออกเสียง 4เสียง ไม่ลงคะแนน 1เสียง เพื่อประกาศใช้ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26กันยายนเป็นต้นไป ก่อนจะปิดประชุมเวลา 16.00น.
ลุ้นถอดอดีต4นักการเมืองหรือไม่
ด้าน นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงร่างข้อบังคับการประชุม สนช.ที่มีประเด็นเรื่องการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งว่า แม้ร่างข้อบังคับการประชุมจะมีผลบังคับใช้ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับ 4สำนวนถอดถอนที่ค้างการพิจารณาจากที่ประชุมวุฒิสภาสมัยที่แล้ว ประกอบด้วย การถอดถอนนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร การถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และการถอดถอนอดีตสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 36คน เพราะเรื่องนี้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และต้องมีข้อยืนยันว่าสามารถยืนถอดถอนได้ก่อน เนื่องจากเป็นการยื่นถอดถอนตามรัฐธรรมนูญปี2550 ซึ่งไม่มั่นใจว่าอยู่ในขอบข่ายที่ให้ สนช.มีอำนาจพิจารณาได้หรือไม่ ตนจึงหมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะด้านกฎหมายไปศึกษารายละเอียดว่า สามารถนำกลับมาพิจารณาถอดถอนได้หรือไม่ คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี