วันอาทิตย์ ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558, 17.29 น.
19 เม.ย. 58 ที่รัฐสภา นายสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ ประธานกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมาธิการชุดดังกล่าว เพื่อเตรียมความพร้อมและจัดระบบการอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญในภาคและหมวดการเมืองว่า ได้มีการทำรายชื่อแล้วว่า กมธ.แต่ละคนจะอภิปรายประเด็นอะไรบ้าง
กรรมาธิการชุดปฏิรูปการเมืองนี้เป็นหนึ่งใน 18 คณะที่ถูกจับตามองว่ามีประเด็นการอภิปรายที่ค่อนข้างร้อนแรงต่อภาคนักการเมืองที่ดี และระบบการเมืองที่ดี ซึ่งคาดว่าเป็นภาคที่มี สมาชิก สปช. สนใจอภิปรายมากที่สุดในการอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญระหว่างวันที่ 20-26 เมษายน ที่จะถึงนี้
"มีประเด็นที่อยากจะไปพูดกับประธาน สปช. ว่าในส่วนของประธาน กมธ. ปฏิรูป 18 คณะ น่าจะมีความยืดหยุ่นได้อภิปรายได้มากกว่า 30 นาทีที่กำหนด หากเห็นว่าพูดแล้วมีประเด็น" นายสมบัติระบุ
นายสมบัติ กล่าวว่าในที่ประชุม กมธ.ปฏิรูปการเมือง พูดกันถึงหลายประเด็นที่น่าเป็นห่วง เช่นในเรื่องของรัฐบาลแบบผสม โดยการเลือกตั้งแบบ MMP อาจเกิดพรรคพันธมิตรเวลาเลือกตั้ง เช่นพรรคที่มีฐานเสียง ส.ส. แบบเขตในภาคในภาคหนึ่งมากจนไม่เหลือโควตาให้มี ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อเพิ่มได้ ก็อาจทำให้ผู้มีชื่อเสียงไม่ลงสมัครในบัญชีรายชื่อพรรคนั้น แต่ไปจับมือกับพรรคพันธมิตรที่มีขนาดเล็กกว่า ขอลงในบัญชีรายชื่อพรรคนั้นแทน
นายสมบัติ ยังยกตัวอย่างประเด็นการให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกลำดับ ส.ส. ในบัญชีรายชื่อว่า อาจก่อให้เกิดการซื้อเสียงโดยผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อที่มีทุน อาจฝากให้ผู้สมัคร ส.ส. เขตไปซื้อเสียงเพื่อให้ตนเองได้ลำดับที่ดีจะได้มีโอกาสรับเลือกสูง
นายสมบัติ ยังกล่าวถึงกรณีที่ให้รัฐบาลกำหนดกฎหมายที่สำคัญสมัยประชุมได้ไม่เกิน 1 ฉบับ เพื่อให้ฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ใน 48 ชั่วโมง หากไม่ยื่นกฎหมายนั้นก็ผ่าน หรือหากยื่นแล้วเสียงไม่ไว้วางใจแพ้ก็ให้กฎหมายนั้นผ่านโดยไม่มีการแก้ไขนั้น มองว่าอาจเป็นเรื่องอันตรายหากกฎหมายนั้นเป็นกฎหมายที่มีผลร้ายแรง เช่น พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งจะมีโอกาสผ่านได้โดยไม่มีการแก้ไข และหากให้รัฐบาลหนึ่งๆ สามารถผ่านกฎหมายแบบนี้ 8 ฉบับในหนึ่งวาระหรือ 4 ปี ก็เป็นเรื่องน่ากลัว หากมีการเสนอกฎหมายที่มีลักษณะค่อนข้างเผด็จการ จะทำให้ฝ่ายบริหารค่อนข้างมีอำนาจเหนือสภา เป็นต้น
นายสมบัติ ยังได้ยกตัวอย่างกรณีนายกฯ ที่ระบุในร่างรัฐธรรมนูญไว้ว่า หาก ส.ส. ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ไม่สามารถได้เสียงสนับสนุนได้เกินครึ่งหนึ่งภายใน 15 วัน นับแต่วันเปิดสมัยประชุม ก็ให้ประธานสภาฯ นำรายชื่อของผู้ที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งขึ้นทูลเกล้าฯ ได้นั้น จะหมายความว่ากรณีบุคคลภายนอกจะใช้เงื่อนไขเดียวกันหรือไม่ กล่าวคือหากได้คะแนนเสียงสนับสนุนไม่ถึง 2 ใน 3 ใน 15 วัน ประธานสภาฯ จะสามารถนำรายชื่อที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งทูลเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกฯ ได้หรือไม่ หากทำได้ก็เท่ากับเปิดช่องให้คนภายนอกที่ไม่ได้เป็น ส.ส. สามารถเป็นนายกฯ ได้ตั้งแต่ต้น
นายสมบัติ ยังกล่าวถึงการรวบรวมรายชื่อ เพื่อยื่นญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมภายหลังการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญของที่ประชุม สปช. เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งมีเงื่อนไขต้องได้เสียงสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 25 คนนั้นว่า เนื่องจากกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองมีไม่พอ จึงเตรียมการว่าจะไปคุยกับคณะกรรมาธิการชุดอื่น โดยการรวบประเด็นที่เห็นตรงกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นภาคหรือหมวดเดียวกัน เช่นหนึ่งญัตติอาจมีเรื่องทั้งการเมืองกับกฎหมาย ก็มีกรรมาธิการจากสองคณะมาร่วมลงชื่อกันได้
ด้าน นายวันชัย สอนสิริ โฆษก กมธ.ปฏิรูปการเมือง กล่าวว่า ที่ประชุมได้วางคนให้มีประสบการณ์ตรงกับเนื้อหา วางประเด็นการอภิปราย และวางเป้าหมายว่าเมื่ออภิปรายแล้วควรต้องมีเหตุผลโน้มน้าวให้กรรมาธิการยกร่างฯ นำไปปรับปรุงแก้ไข ก่อนที่จะนำข้อเสนอทั้งหมดที่ กมธ.ยกร่างฯ รับฟังแล้วยังไม่ปรับแก้ไปร่างเป็นญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป
นายบุญเลิศ คชายุทธเดช โฆษก กมธ.ปฏิรูปการเมือง กล่าวเสริมว่า ที่ประชุมยังต้องการให้มีการหารือกับประธาน สปช. ว่าขอให้ยืดหยุ่นเรื่องเวลาเพื่อให้อภิปรายเต็มที่ โดยอาจเลิกประชุมเลิกดึกมากขึ้น อาจขยายไปจนถึง 5 ทุ่มหรือเที่ยงคืน จากที่กำหนดเบื้องต้นไว้สามทุ่ม
พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ กรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สปช. เปิดเผยว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับระบบ MMP ที่ทำให้พรรคเล็กพรรคน้อยมีอำนาจมาก ส่วนตัวเห็นว่าเสียงของรัฐบาลน่าจะมีเพียง 3 ใน 5 ของจำนวน ส.ส. ในสภา หรือราว 60 % ก็เพียงพอแล้ว เพราะหากปล่อยให้ดึงพรรคเล็กพรรคน้อยไปร่วมรัฐบาลทั้งหมดมันจะเกิดเผด็จการรัฐสภากลับมาอีก และยังทำให้เกิดจากจ่ายเงินซื้อตัวกันมากมาย จึงเสนอให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกพรรคที่ร่วมรัฐบาลกันได้ไม่เกิน 3 พรรคเท่านั้น