21 เม.ย.58 ที่รัฐสภา การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งมีวาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญจากคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.) เป็นวันที่สอง มี น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ เป็นประธานในการประชุม
โดย นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สปช.ได้อภิปรายร่างรัฐธรรมนูญในภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบผู้แทนที่ดี ว่า การร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในประเทศไทย ต้องดูคุณลักษณะสำคัญของสังคมไทยคือ 1.มีความเหลื่อมล้ำสูง 2.คนจนต้องพึ่งพาจากรัฐทำให้เป็นเหยื่อนักการเมืองโดยง่ายจากนโยบายประชานิยม 3.นักการเมืองจำนวนมากซื้อเสียงจากประชาชนที่ยากจน จะพัฒนาได้ต้องให้คนส่วนใหญ่พัฒนาเป็นคนชั้นกลาง 4.เกษตรกรต้องขายผลิตผลราคาต่ำจนเป็นหนี้ ถ้ารัฐบาลแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลการเกษตรตกต่ำไม่ได้ก็แก้ปัญหาความยากจนไม่ได้ 5.นักการเมืองเข้าสู่อำนาจโดยการซื้อเสียง ทำให้ทุจริตแพร่หลาย 6.นักการเมืองให้คุณให้โทษกับข้าราชการได้ ทำให้ข้าราชการสมคบนักการเมืองในการทุจริต 7.ระบบอุปถัมภ์ยิ่งส่งเสริมการทุจริตให้รุนแรง ประกอบกับมาตรการปราบปรามการทุจริตไม่มีประสิทธิภาพ 8.คนส่วนใหญ่มุ่งหาประโยชน์ส่วนตัว ไม่มีใครอยากไปเสี่ยงกับความเดือดร้อน 9.สภาพการเมืองไทยส่งเสริมให้คนชั่วมีที่ยืน แต่คนดีแทบไม่มีที่ยืนในวงการเมืองหรือวงการข้าราชการ
นายสมบัติ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญที่เหมาะสมควรบรรจุหลักการสำคัญไว้เท่านั้น ส่วนอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ เดิม กมธ.ยกร่างฯ บอกว่าจะเขียนรัฐธรรมนูญให้สั้น แต่เสร็จออกมากลับยาวมากกว่าปี 2550 ซึ่งควรเอาเงื่อนไขวิธีการต่างๆ ไปเขียนไว้ในกฎหมายที่บัญญัติจะทำให้สั้นลงได้มาก และแก้ไขได้ง่ายเมื่อสภาพบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไป สำหรับจุดเสี่ยงของรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ การขาดความสมดุลระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ โดยฝ่ายบริหารมีอำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่ 1.กฎหมายการเงินให้ฝ่ายบริหารริเริ่มเสนอ โดยฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่เพียงให้ความเห็นชอบ เป็นการให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารในการเสนอกฎหมายสำคัญมากกว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเสียอีก 2.มาตรา 182 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสภาว่าร่าง พ.ร.บ.ที่เสนอ หากสภาไม่เสนอญัตติขออภิปรายไม่ไว้วางใจภายใน 48 ชั่วโมงถือว่าสภาให้ความเห็นชอบ หากฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วรัฐบาลชนะก็ถือว่าสภาให้ความเห็นชอบเช่นกัน นึกถึงหากเป็นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นายกรัฐมนตรีเสนอ ฝ่ายค้านอภิปรายแพ้ จะทำให้ฝ่ายค้านทำอะไรไม่ได้เลย จะเป็นชนวนให้ประชาชนออกมาบนท้องถนนอีกหรือไม่ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากทีเดียว
นายสมบัติ กล่าวถึงจุดเสี่ยงของรัฐธรรมนูญต่อไปว่า 3.การออกแบบการเลือกตั้งให้ได้รัฐบาลผสมที่เสียงข้างมากไม่เข้มแข็ง ที่บอกกันว่าไม่ให้เข้มแข็งเกินไปเพราะจะเป็นอันตราย ให้เป็นรัฐบาลผสมจะได้เสริมสร้างความปรองดอง แต่ภาพรัฐบาลผสมก่อนปี 2540 เป็นภาพความทรงจำที่เลวร้าย เพราะไม่สามารถพัฒนาขับเคลื่อนประเทศได้ ทำให้เกิดการต่อรองประนีประนอมผลประโยชน์ หากไม่ได้ผลประโยชน์ก็เกิดความขัดแย้ง จะขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศให้สำเร็จอย่างไร หากรัฐบาลเข้มแข็งแล้วมีวิกฤต จะมาแก้ไขโดยให้รัฐบาลอ่อนแอเป็นการวิเคราะห์โจทย์ที่ไม่ถูกต้อง ทางออกคือให้มีกลไกการตรวจสอบรัฐบาลและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ให้ ส.ส.1 ใน 10 ของสภาผู้แทนราษฎร เสนอชื่อต่อประธานวุฒิสภาตั้งกรรมาธิการวิสามัญไต่สวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือรัฐบาลที่ประพฤติมิชอบ ถ้าไต่สวนพบว่ามีมูลให้ประธานวุฒิสภาส่งต่อให้ศาลฎีกาพิจารณา 4.กลไกการตรวจสอบอ่อนแอ การลงมติถอดถอนไม่เคยใช้ได้ผล ยังจะให้วุฒิสภารวมกับสภาผู้แทนราษฎรใช้คะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งในการถอดถอน หลักการนี้ใช้ไม่ได้ผลในสภาพการเมืองไทย และ 5.มาตรา 173 ที่หากพ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันที่เรียกประชุมสภาครั้งแรกแล้วไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดได้คะแนนเสียงเห็นชอบให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ให้แต่งตั้งบุคคลที่ได้คะแนนเสียงสูงสุดเป็นนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีคนนอกที่ระบุว่าให้ใช้คะแนนเสียง 2 ใน 3 ก็อาจไม่ต้องใช้ถึง 2 ใน 3 ก็ได้
"กรณีที่เลือกคนนอกมาเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วท่านก็เลือกคนนอกมาเป็นรัฐมนตรี เพราะห้ามไม่ให้ ส.ส.เป็นรัฐมนตรี ก็หมายความว่าผู้มาใช้อำนาจบริหารไม่มีส่วนใดเชื่อมโยงกับประชาชนเลย อ้างได้นิดเดียวว่า ส.ส.ที่มาจากประชาชนเป็นคนเลือก แต่ว่าตัวตนจริงๆ แล้ว นายกรัฐมนตรีไม่มีส่วนใดเชื่อมโยงกับประชาชนเลย เพราะฉะนั้นหลักอำนาจอธิปไตยของปวงชนของเราแต่เดิมที่หลักตุลาการไม่เชื่อมโยงอยู่แล้ว จะเชื่อมโยงอยู่หลักเดียวคือหลักนิติบัญญัติเท่านั้นเอง แล้วที่หนักไปกว่านั้นเราบอกว่าคนที่จะเสนอกฎหมายการเงินต้องนายกรัฐมนตรีรับรอง ฝ่ายที่ไม่ได้มาจากประชาชนเป็นฝ่ายที่มีอำนาจสูงสุด ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เราพูดถึงหลักการของอำนาจอธิปไตยของปวงชน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ร่างจะให้พลเมืองเป็นใหญ่ แต่อนุญาตให้คนมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนมันจะขัดแย้งกันอยู่พอสมควร" นายสมบัติ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
อัด'กมธ.ยกร่างฯ'ไม่ตอบโจทย์!! 'เสรี'ชี้ควรมี'ส.ส.เขต'อย่างเดียว
'ตู่'ท้า'บวรศักดิ์'ให้ทำประชามติ ย้ำการมีส่วนร่วมคือหลักสำคัญ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี