ดังนั้นจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้รัฐใช้อำนาจจำกัดสิทธิเสรีภาพตามอำเภอใจ อย่างไรก็ตามสังคมไทยดูเหมือนจะหมุนไปหมุนมา คือ มีการเลือกตั้ง มีทหารเข้ามามีบทบาท ดุลอำนาจไม่ใช่ขั้วอำนาจเดียวโดยเฉพาะในช่วงปี 2540 มองว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบของประชาธิปไตย แต่เป็นเพียงเงื่อนไข ดังนั้นหลังจากได้รัฐบาลที่มาจากความยินยอมแล้ว การใช้อำนาจของรัฐบาลนั้นต้องอยู่ภายใต้หลักการตรวจสอบได้ด้วย
“มีศาลมีกฎหมายมีสิทธิเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คำสั่งผู้มีอำนาจเป็นกฎหมาย ความชอบด้วยกฎหมายคือได้รับความยินยอมจากตัวแทนปวงชน ตั้งข้อสังเกต เกิดประเพณีใหม่ หน่วยราชการชงกฎหมาย เป็นคำสั่งทางปกครอง มีการยกเว้นการใช้อำนาจศาล โดยอาศัยกลไกนิติบัญญัติ วิธีใช้สิทธิเสรีภาพแบบนี้มีอุปสรรคมากในการฟ้องร้อง” นางสาวสายทิพย์ กล่าว
ด้านนางวรรณภา ติระสังขะ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะรัฐศาสตร์ มธ. กล่าวว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้สิทธิเสรีภาพ แต่เพียงรับรองสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เรามีตั้งแต่เกิด เราจึงต้องตระหนักว่าเรามีสิทธิเสรีภาพเรื่องใดบ้าง ความเข้าใจในเรื่องสิทธิเสรีภาพทางการเมือง เช่น การชุมนุมหรือการพูดแสดงความคิดเห็นกระทบต่อคนอื่นหรือไม่ ต้องทบทวน ส่วนปัญหาสิทธิตามกระบวนการยุติธรรม การใช้อำนาจรัฐละเมิดสิทธิ ต้องยอมรับว่าเป็นบางคำสั่งละเมิดสิทธิมนุษยชน
ดังนั้นต้องหาสมดุลในประเทศ ซึ่งทางออกของความขัดแย้งคือการออกเสียงประชามติ หากใช้ประชามติเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับบางกลุ่มจะสูญเสียคุณค่าประชาธิปไตย ไม่ได้หวังให้รัฐธรรมนูญลดความขัดแย้ง ไม่เชื่อว่าจะมีเกิดขึ้น แต่สังคมประชาธิปไตยคือสร้างดุลยภาพ วิธีที่ง่ายที่สุดคือเราต้องทำตัวเองให้เป็นพลเมือง คำนึงถึงประโยชน์สาธารณะ เคารพความคิดเห็นกัน อยู่ภายใต้กฎกติกาเดียวกัน อย่างไรก็ตามคำสั่งหรือกฎหมาย ควรรับใช้เจ้าของอำนาจคือประชาชน ไม่ใช่รับใช้ผู้ใช้อำนาจ
ขณะที่นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) กล่าวว่า การแสดงความคิดเห็นไม่มีความผิด เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งประเทศจะเห็นด้วยกับผู้นำทั้งหมด แต่ต้องอยู่ร่วมกันกับสังคมได้ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายในเรื่องการหาสมดุลระหว่างการใช้อำนาจรัฐกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน อย่างไรก็ตามทุกวันนี้เราอยู่ในสถานการณ์พิเศษ แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าพิเศษตรงไหน แต่ยังมีความขัดแย้งทั่วประเทศ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จบลง
นอกจากนี้ตนเห็นว่าปัญหาส่วนมากคือการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ และพบว่ารัฐกว่า 90% ใช้อำนาจการละเมิดสิทธิมนุษยชน อีกทั้งยังมีคำสั่งม.44 หรือบางคำสั่งที่ยังละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่หลายฉบับ จึงอยากให้มีการปรับแก้ โดยต้องคำนึงว่าความมั่นคงของชาติกับความมั่นคงของมนุษย์จะอยู่ร่วมกันอย่างไร ซึ่งมองว่าการจำกัดสิทธิเสรีภาพในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อทำประชามตินั้น เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าประชาชนคิดอย่างไร ดังนั้นรัฐบาลต้องเปิดใจให้กว้างมากขึ้นเปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ
“สถานการณ์การเปลี่ยนผ่านการสร้างความไว้วางใจเป็นเรื่องสำคัญ แม้จะถูกทำลายไปสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ต้องอาศัยการสร้างพันธะสัญญาใหม่ๆ รัฐต้องรักษาสัญญา การใช้อำนาจตามอำเภอใจ ไม่นำสู่ความปรองดองและความไว้วางใจอย่างยั่งยืน” นางอังคณา กล่าว และว่า ทหารอย่าคิดว่าปชช. คือ พลทหาร แต่ปชช.เติบโตมาด้วยการมีสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่ผิดก็สั่งให้วิดพื้น เพราะจะทำให้เกิดการต่อต้านแรงขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี