6 มี.ค.61) เวลา 10.30 น. ณ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2561 ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง การแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอ แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกำหนด 2 ฉบับ มีดังนี้
1. ร่างพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. .... เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 โดยกำหนดกระบวนการในการควบคุมและตรวจสอบการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงาน การทำงานของคนต่างด้าว การรับคนต่างด้าวเข้าทำงาน ให้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งกำหนดให้ใช้ระบบอนุญาตเพียงเท่าที่จำเป็น ตลอดจนปรับปรุงอัตราโทษให้มีความเหมาสมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวทั้งระบบ
2. ร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
พ.ศ. .... เป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เพื่อยกเลิกการห้ามคนต่างด้าวเข้ามามีอาชีพเป็นกรรมกรหรือรับจ้างทำงานด้วยกำลังกายโดยไม่ได้อาศัยวิชาความรู้หรือการฝึกทางวิชาการ และกำหนดห้ามเฉพาะการเข้ามาทำงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และดำเนินการต่อไปได้
กค. เสนอว่า
1. เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ และส่งเสริมให้มีการจ้างงานผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จึงเห็นควรกำหนดมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (9 มกราคม 2561)
2. กค. ได้ดำเนินการวิเคราะห์ผลกระทบของมาตรการในเรื่องนี้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 แล้ว ซึ่งมาตรการดังกล่าวข้างต้นจะมีผลกระทบ ดังนี้
2.1 เป็นการส่งเสริมให้มีการจ้างงานผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของ
ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ
2.2 คาดว่ามาตรการในเรื่องนี้จะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสวัสดิการสังคมและการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน
สาระสำคัญของพระราชกฤษฎีกา
1. กำหนดให้นายจ้างที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนำรายจ่ายค่าจ้างที่ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยการจ่ายค่าจ้างผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เป็นจำนวน 1.5 เท่าของค่าจ้างที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนลูกจ้างในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
2. กำหนดให้กรณีที่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทำงานในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหลายแห่งในเวลาเดียวกัน ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่รับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้าทำงานก่อนได้รับสิทธิหักรายจ่ายได้เป็นจำนวน 1.5 เท่า ของรายจ่ายข้างต้น
3. การจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐข้างต้น ไม่รวมถึงการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างในแต่ละเดือนเกินกว่า 15,000 บาท หรือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเงินได้พึงประเมินที่ไม่เข้าลักษณะตามมาตรา 42 แห่งประมวลรัษฎากรเกินกว่า 100,000 บาท ในปีภาษีที่แล้วมา
4. กำหนดให้ร่างพระราชกฤษฎีกานี้ใช้สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2561 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2562
เศรษฐกิจ-สังคม
3. เรื่อง ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายสินเชื่อ “โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สำหรับผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายสินเชื่อโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สำหรับผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จากเดิม ให้ธนาคารออมสินเบิกจ่ายสินเชื่อให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2560 เป็น ให้ธนาคารออมสินเบิกจ่ายสินเชื่อให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2561 โดยการขอขยายระยะเวลาดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากอยู่ภายใต้กรอบวงเงินเดิมที่ธนาคารออมสินได้รับอนุมัติไว้ตามที่ กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
ทั้งนี้ ให้ธนาคารออมสินร่วมกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เร่งรัดการเบิกจ่ายสินเชื่อให้ทันภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2561 และดำเนินการปิดโครงการฯ ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว โดยไม่ให้มีการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ อีกต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กค.รายงานว่า
1. ณ สิ้นวันที่ 30 ธันวาคม 2560 ธนาคารออมสินอนุมัติสินเชื่อภายใต้โครงการฯ เป็นจำนวนเงิน 29,480.20 ล้านบาท ให้กับผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 2,613 ราย และมีการเบิกจ่ายสินเชื่อไปแล้วเป็นจำนวนเงิน 24,523.51 ล้านบาท ให้กับผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 2,158 ราย
2. อย่างไรก็ดี ธนาคารออมสินแจ้งว่าจากการสอบถามสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ พบว่า มีผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ แล้ว แต่ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้ทันตามกำหนดเนื่องจากอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักร อยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารเพื่อรองรับเครื่องจักร อยู่ระหว่างการตรวจรับและส่งมอบเครื่องจักร เครื่องจักรอยู่ระหว่างการผลิต และอื่นๆ จำนวนรวม 455 ราย เป็นจำนวนเงินรวม 4,956.69 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสินเชื่อตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงเห็นควรขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายสินเชื่อโครงการฯ ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561
4. เรื่อง การขยายผลธนาคารปูม้า เพื่อ “คืนปูม้าสู่ทะเลไทย”
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขยายผลธนาคารปูม้าเพื่อ“คืนปูม้าสู่ทะเลไทย” ไปสู่ชุมชนอื่น ๆ อย่างรวดเร็วในชุมชนชายฝั่ง จำนวน 500 ชุมชน ในระยะเวลา 2 ปี ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นหน่วยงานบูรณาการหลักและหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมดำเนินการ ดังนี้
1. ให้ วช.ขยายผลการพัฒนาธนาคารปูม้า โดยนำองค์ความรู้ด้านการวิจัยและนวัตกรรมที่มีอยู่ พร้อมทั้งให้มีการทำวิจัยเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มอัตราการรอดของลูกปูม้า การอนุบาลแม่ปูไข่นอกกระดอง และลูกปูม้า
วัยอ่อน วิจัยแหล่งที่อยู่อาศัยของลูกปูม้าวัยอ่อน วิจัยช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมในการปล่อยลูกปูม้าคืนสู่ทะเล วิจัยเรื่องการขนย้ายลูกปูม้าลงทะเล
2. กรมประมง ออกแบบ/กำหนดวิธีการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรปูม้าโดยชุมชนมีส่วนร่วม มีมาตรการส่งเสริมการฝากแม่ปูม้าไข่นอกกระดองกับธนาคารปูม้าและการส่งเสริมให้ปูม้าไทยสู่ตลาดโลกโดยผ่านการประเมินตามเกณฑ์มาตรฐานสากล
3. กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเห็นชอบพื้นที่ที่จะใช้มาตรการอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
4. ธนาคารออมสิน สนับสนุนเงินทุน (สินเชื่อ) ให้ชุมชนเพื่อเริ่มทำและดำเนินการธนาคารปูม้าและการอนุบาลลูกปูม้าชายฝั่งชุมชนละประมาณ 150,000 – 200,000 บาท เพื่อเป็นเงินทุนในการจัดระบบธนาคารปูม้า การสนับสนุนโรงเรือนและเซลล์แสงอาทิตย์ และเงินทุนหมุนเวียนการดำเนินการ
5. บริษัทประชารัฐรักสามัคคีในพื้นที่ชายฝั่งทะเล ช่วยสนับสนุนด้านการตลาดและ
การประชาสัมพันธ์
6. บริษัทไปรษณีย์ไทย บริการนำปูม้าจากชุมชนที่มีธนาคารปูม้าไปเป็นสินค้าแนะนำที่สามารถ
ซื้อขายได้
7. กระทรวงพาณิชย์ สนับสนุนการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศทั้งในช่องทางปกติและช่องทางออนไลน์
สาระสำคัญของเรื่อง
ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดเพชรบุรี และได้เยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชนธนาคารปูม้า - แพปลาชุมชนแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี ในวันที่ 5 มีนาคม 2561 ซึ่งมีการรวมกลุ่มชาวประมงทำธนาคารปูม้าได้ประสบความสำเร็จ และเป็นความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนด้วยกลไกประชารัฐ ให้ธนาคารปูม้าสามารถขยายผลเข้าไปสู่ชุมชนอื่น ๆ ได้โดยการถอดบทเรียนที่ประสบความสำเร็จ แล้วเพิ่มเติมความรู้ด้วยการวิจัยและวิชาการทั้งการเพิ่มอัตราการรอดของลูกปูม้า การพัฒนาสายพันธุ์และวิธีการเลี้ยงและการปล่อยลูกปูม้าคืนสู่ทะเล การปรับให้เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ ภูมิสังคม และสภาวะชุมชน
การสนับสนุนทางการเงินให้เริ่มต้นและมีเงินหมุนเวียนให้ดำเนินการได้ และการสนับสนุนทางด้านการตลาด
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้พิจารณาแล้ว จึงเห็นควรให้มีการขยายผลธนาคารปูม้าไปสู่ชุมชนรอบอ่าวไทยและอันดามันทั่วประเทศเพื่อ “คืนปูม้าสู่ทะเลไทย” โดยเน้นหลักความร่วมมือของชุมชนและใช้การวิจัยให้ความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมที่ยั่งยืน อันสอดคล้องกับศาสตร์พระราชาและแนวทางตามหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การใช้หลักการที่มีส่วนร่วมประโยชน์ส่วนรวม การพึ่งตนเอง และการใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ ร่วมด้วยหลักคิด หลักวิชา หลักปฏิบัติ เป็นการระเบิดจากข้างใน ซึ่งเมื่อมีการขยายผลธนาคารปูม้าไปทั่วประเทศแล้วเสร็จ มุ่งหวังว่าจะมีจำนวนลูกปูม้าในธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น ทำให้ทรัพยากรบริเวณชายฝั่งทะเลมีความสมบูรณ์เพิ่มขึ้น ชาวประมงมีรายได้เพิ่มขึ้นถ้าชุมชนปล่อยไข่ปูม้าจากแม่ปูม้าได้เดือนละ 100 ตัว จะมีลูกปูม้าเพิ่มขึ้น 0.1 - 1 ล้านตัว จะทำให้มีรายได้จากการขยายปูม้า 2.5 ล้านบาท/ชุมชน/เดือน และหากขยายผลมากกว่า 1,000 ชุมชน จะมีมูลค่าถึง 2,500 ล้านบาท/เดือน ทำให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เศรษฐกิจฐานรากของประเทศเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน
5. เรื่อง แนวทางพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก (The Royal Coast หรือ Thailand Riviera)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก (The Royal Coast หรือ Thailand Riviera) ตามที่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กท.) เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญของเรื่อง
กก. รายงานว่า ได้รวบรวมแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ มาตรการสำคัญ และแผนงานโครงการที่ความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ โดยมีเป้าหมายเพื่อการส่งเสริมพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก 4 จังหวัด ให้เต็มตามศักยภาพและความพร้อมของพื้นที่ รวมถึงโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ
ในอนาคต เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการกระจายรายได้สู่เมืองรองและชุมชนตามนโยบายรัฐบาลต่อไป โดยสรุปดังนี้
1. ยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตการพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก (พ.ศ. 2559-2563)
มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาฐานทรัพยากรพื้นฐานทางท่องเที่ยว ทั้งทางด้านสังคม ด้านวัฒนธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านทุนมนุษย์ และด้านคุณภาพการบริการ เพื่อพัฒนาสู่การเป็นเมืองพักผ่อนเพื่อสุขภาพระดับโลก พร้อมส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ และขีดความสามารถทางการแข่งขันทางตลาดในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่มากขึ้น นอกจากนั้น เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายองค์กรชุมชนในพื้นที่ เพื่อเชื่อมโยงและประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมในเขตพื้นที่ ตลอดจนส่งเสริมการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นภายในเขต เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวภายนอกเขต และเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวของประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งยังมุ่งเน้นการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาด้านต่าง ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก โดยกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนา 5 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเพิ่มคุณค่าและมูลค่าของฐานทรัพยากรการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และวัฒนธรรม ตลอดจนการพัฒนาปัจจัยพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวเพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองพักผ่อนเพื่อสุขภาพระดับโลก
ยุทธศาสตร์ที่ 2 ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันทางตลาดการท่องเที่ยวเพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ
ยุทธศาสตร์ที่ 3 เร่งสร้างความเข้มแข็งกลไกการขับเคลื่อนเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก
ยุทธศาสตร์ที่ 4 ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมโยงภายในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก ระหว่างเขตพัฒนา และเชื่อมโยงการท่องเที่ยวไปประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์
ยุทธศาสตร์ที่ 5 เร่งสนับสนุนและขับเคลื่อนมาตรการเยียวยา รักษาและแก้ไขประเด็น
เชิงยุทธศาสตร์ด้านคุณภาพแรงงาน ด้านสภาพแวดล้อม และด้านความปลอดภัย
สำหรับมาตรการสำคัญในการสนับสนุนการท่องเที่ยว ประกอบด้วย 1. การกำหนดเขตพื้นที่รองในเมืองหลักเพิ่มเติม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการกระจายรายได้สู่เมืองรองตามนโยบายรัฐบาล 2. การประกาศกำหนดเขตพื้นที่ในท้องถิ่นหรือชุมชน 3. แนวทางการพัฒนาและปรับปรุงท่าอากาศยานหัวหิน (สนามบินบ่อฝ้าย) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว 4. การส่งเสริมธุรกิจสนามกอลฟ์เพื่อการท่องเที่ยว 5. การส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-Based Tourism ) และ 6. โครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว
6. เรื่อง การจัดงานฉลองครบรอบ 150 ปี สุริยุปราคา ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการให้ วท. กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) โดยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) และสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยใน
พระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกันจัดงานฉลอง 150 ปี สุริยุปราคา ณ หว้ากอ ในช่วงเดือนสิงหาคม 2561 และจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นประธาน
2. เห็นชอบในหลักการให้ วท. ร่วมกับ ศธ. มท.โดยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กก. สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จัดทำแผนแม่บทเพื่อพัฒนาและบริหารอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย (Historic Science Theme Park) พร้อมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามการพัฒนาพื้นที่โครงข่ายเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ตอนบน (Riviera Thailand) ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน
สาระสำคัญของเรื่อง
เนื่องในวันที่ 18 สิงหาคม 2561 เป็นวันครบรอบ 150 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2411 ซึ่งทรงพยากรณ์ล่วงหน้าไว้ถึง 2 ปี คณะรัฐมนตรีจึงได้มีอนุมัติให้ เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” และกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันวิทยาศาสตร์ไทย ในการนี้ ศธ. และ วท. ได้มีการตรวจราชการร่วมกัน ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ ณ หว้ากอ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2561 และมีการประชุมร่วมกันกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการจัดงานฉลองครบรอบ 150 ปี สุริยุปราคา ณ หว้ากอ ซึ่งสรุปสาระสำคัญ ได้ดังนี้
1. ศธ. และ วท. จะร่วมกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการจัดงานฉลองครบรอบ 150 ปี สุริยุปราคา ณ หว้ากอ ให้ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย โดยให้มีคณะอำนวยการการจัดงานฉลองครบรอบ 150 ปี สุริยุปราคา ณ หว้ากอ ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นประธาน ประกอบด้วย สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย วท. ศธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นที่ปรึกษา
2. ให้มีการจัดทำแผนแม่บทในการพัฒนาและบริหารอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ ให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ทันสมัย (Historic Science Theme Park) ครอบคลุมทั้งการอนุรักษ์สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในด้านวิทยาศาสตร์ การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ การวิจัย ทางดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทางทะเล และสาขาอื่น ๆ รวมทั้งการท่องเที่ยวของชุมชนตามแนวฝั่งทะเลภาคใต้ตอนบน โดยให้มีคณะกรรมการจัดทำแผนแม่บทฯ ที่มีปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นประธาน มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นที่ปรึกษา ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ในการออกแบบและจัดทำแผนงานฉลองครบรอบ 150 ปี สุริยุปราคา ณ หว้ากอ และดำเนินการตามแผนงานเพื่อให้สามารถจัดงานได้ทันในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ประจำปี 2561 (18 สิงหาคม 2561) ตลอดจนจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ยุคใหม่เพื่อสนับสนุนประเทศไปสู่ Thailand 4.0
ต่างประเทศ
7. เรื่อง บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณะสุขและแพทยศาสตรศึกษาแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขและแพทยศาสตรศึกษาแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
3. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ทั้งนี้ ในกรณีมีความจำเป็นต้องจัดทำข้ออนุวัติการเพื่อรองรับการดำเนินงานของบันทึกความเข้าใจนี้ ให้ สธ.จัดส่งร่างความตกลงให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาก่อนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจมีสาขาและรูปแบบความร่วมมือ ดังนี้
คู่ภาคีจะร่วมกันพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านสาธารณสุขในสาขาต่างๆ รวม 13 สาขา โดยมีสาขาความร่วมมือสำคัญ ๆ เช่น 1.การจัดการระบบการให้บริการสุขภาพ 2.การผลิตยาและเครื่องมือทางการแพทย์ 3.การแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ด้านสาธารณสุขระหว่างกัน 4.ความร่วมมือด้านแพทยศึกษา 5.ความร่วมมือในสาขาการวิจัยและพัฒนาสุขภาพ 6. ความร่วมมือในสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว 7.ความร่วมมือในสาขาความปลอดภัยทางอาหาร
โดยกิจกรรมภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ จะดำเนินการในรูปแบบต่างๆ เช่นการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ การวิจัยร่วม การฝึกอบรม การสนับสนุนกิจการค้าร่วม โดยภาคเอกชนของคู่ภาคี และรูปแบบความร่วมมืออื่นๆ ที่คู่ภาคีตัดสินใจร่วมกัน
8. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุม OECD SEARP Ministerial Conference
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วม (Joint Communiqué) ซึ่งจะเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมระดับรัฐมนตรีของโครงการภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา [OECD southeast Asia Regional Programme (SEARP) Ministerial conference : OECD SEARP Ministerial Conference] และมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้รับรองร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุม OECD SEARP Ministerial Conference
2. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารดังกล่าว โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ กต.สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก
สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือระหว่างองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) กับประเทศสมาชิกอาเซียนเกี่ยวกับทิศทางของโครงการภูมิภาคเอซียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Regional Programme : SEARP) ในอนาคต เพื่อจะได้ดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับทิศทางของอาเซียน เช่น แผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ค.ศ.2025 (ASEAN Economic Community Blueprint 2025)
หัวข้อหลักการของประชุม “อาเซียนที่ครอบคลุม (Inclusive ASEAN)”
ประเด็นการหารือ 1) การเชื่อมโยงในอาเซียน (Inclusiveness through Connectivity) เช่น การค้าการลงทุนระหว่างประเทศจะเป็นเครื่องมือสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างงาน และสวัสดิการ
2) การมีส่วนร่วม (Inclusiveness through Participation) เช่น การเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะด้านการศึกษาและทักษะเพื่อให้ประชาชนสามารถแข่งขันและรับมือกับความท้าท้ายในโลกยุคโลกาภิวัฒน์และ
ยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ภายหลังการประชุมดังกล่าวจะมีพิธีส่งมอบตำแหน่งประธานร่วมโครงการ SEARP จากสาธารณรัฐอินโดนีเซียและประเทศญี่ปุ่นให้แก่ประเทศไทยและประเทศเกาหลีใต้ เพื่อดำรงตำแหน่งประธานร่วมของโครงการ SEARP วาระปี พ.ศ.2561 - 2563
แต่งตั้ง
9. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนา และที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการ
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงาน กปร. ให้
ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นางสาววัชรี วัฒนไกร ที่ปรึกษาด้านการพัฒนา (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ) สำนักงาน กปร. ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการพัฒนา (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน กปร. ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2560
2. นางสาวถกลวรรณ ไกรสกุล ที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ) สำนักงาน กปร. ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน กปร. ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2560
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
10. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล
รองผู้อำนวยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
11. เรื่อง การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ของไทยต่อประเด็นทะเลจีนใต้
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ของไทยต่อประเด็นทะเลจีนใต้ เพื่อเป็นกลไกในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ของไทยต่อการปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยการปฏิบัติของภาคีฝ่ายต่าง ๆ ในทะเลจีนใต้ (Declaration on the Conduct of Parties in the South China Sea : DOC) การเจรจาจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct in the South Sea : COC) และโครงการความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมและมีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ดังนี้
องค์ประกอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทน เป็นรองประธานกรรมการ กรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงกลาโหม หรือผู้แทน ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้แทน ปลัดกระทรวงคมนาคม หรือผู้แทน ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือผู้แทน ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือผู้แทน ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้แทน ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือผู้แทน ปลัดกระทรวงพลังงาน หรือผู้แทน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทน ปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือผู้แทน ปลัดกระทรวงยุติธรรม หรือผู้แทน ปลัดกระทรวงแรงงาน หรือผู้แทน ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือผู้แทน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม หรือผู้แทน เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือผู้แทน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือผู้แทน ผู้บัญชาการทหารเรือ หรือผู้แทน เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือผู้แทน ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ หรือผู้แทน ผู้ทรงคุณวุฒิหรือนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประธานกรรมการแต่งตั้งจำนวนไม่เกินสามคน อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และอธิบดีกรมเอเชียตะวันออกโดยมีอธิบดีกรมอาเซียน เป็นกรรมการและเลขานุการ รองอธิบดีกรมอาเซียนจำนวนสองคน และผู้อำนวยการกองความสัมพันธ์กับคู่เจรจาและองค์กรระหว่างประเทศ กรมอาเซียน เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
อำนาจหน้าที่
1. กำหนดหรือเสนอแนะนโยบาย แนวทางดำเนินการ และท่าทีของไทยต่อประเด็นทะเลจีนใต้ การปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยการปฏิบัติของภาคีฝ่ายต่าง ๆ ในทะเลจีนใต้ (DOC) การเจรจาจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (COC) และโครงการความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และมีผลประโยชน์ร่วมกันในทะเลจีนใต้ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับจีนซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่เสนอโดยนายกรัฐมนตรี เพื่อเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเจรจาจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (COC)
2. บูรณาการและสร้างการมีส่วนร่วมของหน่วยงานต่าง ๆ ในการปฏิบัติตามความร่วมมือที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทะเลจีนใต้ ตลอดจนข้อผูกพันของไทยอันเป็นผลมาจากการปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยการปฏิบัติของภาคีฝ่ายต่าง ๆ ในทะเลจีนใต้ (DOC) การเจรจาจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (COC) และโครงการความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมและมีผลประโยชน์ร่วมกันในทะเลจีนใต้ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับจีน
3. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ซึ่งอาจจะประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
4. ดำเนินการอื่น ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2561 เป็นต้นไป
12. เรื่อง รัฐบาลสาธารณรัฐเยเมนเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐเยเมนประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ กรณีรัฐบาลสาธารณรัฐเยเมนมีความประสงค์ขอแต่งตั้ง นายอาดิล
มุฮัมมัด อะลี บา ฮะมีด (Mr. Adel Mohamed Ali Ba Hamid) ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐเยเมนประจำประเทศไทย คนใหม่ สืบแทน นายอับดุลเลาะ โมฮาเมด อาลี อัล-มุนต์ซีร์ (Mr. Abdulla Mohamed Ali Al-Montser) โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ตามที่กระทรวง
การต่างประเทศเสนอ
13. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) ในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรับโอน นายนริสชัย ป้อมเสือ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการภายในประเทศ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี