วันอังคาร ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
4 พ.ค.61 เมื่อเวลา 20.20 น.ที่ผ่านมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการ ไทยซัมมิท กรุ๊ป และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค "อนาคตใหม่" ได้ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ค ซึ่งล่าช้ากว่ากำหนดเกือบ 20 นาที และช่วงเวลาการไลฟ์ใกล้เคียงกับรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ที่ออกอากาศเวลา 20.15 น.ทุกคืนวันศุกร์
ทั้งนี้ การไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊คดังกล่าวนายธนาธรระบุว่าจะมีขึ้นทุกคืนวันศุกร์เวลาประมาณ 20.15 น.
นายธนาธร กล่าวตอนหนึ่งว่า ทางพรรคอนาคตใหม่จะมีการประชุมพรรคครั้งที่ 1 ในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ 27 พ.ค.นี้ ที่ศูนย์ธรรมศาสตร์รังสิต โดยสามารถติดตามรายละเอียดได้ในเพจ "อนาคตใหม่ -The Future We Want" ซึ่งการประชุมดังกล่าวได้รับอนุญาตจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แล้ว
"จะมีการเลือกหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรค และจะอธิบายให้เห็นว่าการทำงานการเมืองแบบใหม่เป็นอย่างไร เหตุใดจึงต้องทำ ซึ่งใครที่อยากเห็นว่าพรรคอนาคตใหม่จะเป็นอย่างไรขอให้มาดูกัน" นายธนาธร กล่าว
จากนั้นนายปิยบุตร ได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองเกี่ยวพรรคทหารในอดีตเพื่อเทียบเคียงกับกระแสข่าวการตั้งพรรคทหารในยุค คสช.โดยระบุตอนหนึ่งว่า คณะราษฎร์ ได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยการอภิวัตรสยาม เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยมีสายพลเรือนคือ นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า ส่วนสายทหารคือ พระยาพหล พลพยุหเสนา เป็นแกนนำสำคัญ
สิ่งหนึ่งที่ทำสำเร็จคือการเปลี่ยนแปลงการปกครองเอาประชาธิปไตยมาให้ แม้ว่ามันจะไม่ค่อยยั่งยืนแต่ก็เป็นจุดเริ่มต้น สิ่งที่ใช้ในขณะนั้นคือการรัฐประหารโดยใช้ทหารเข้ามา ประเด็นปัญหาคือ เวลาทหารเข้ามาสู่การเมืองแล้ว จะเอาทหารกลับออกไปสู่กรมกองอย่างไร ตรงนี้เป็นอุปสรรคของหลายประเทศ อาทิ การปฏิวัติคาร์เนชั่น ที่ประเทศโปรตุเกส ปี 1974 โดยนายทหารหัวก้าวหน้ารุ่นใหม่ ก็ต้องใช้เวลาเปลี่ยนผ่านอีก 10 ปีเศษ แต่ของไทยสุดท้ายเอาออกยากมาก สุดท้ายก็ยังฝังอยู่
นายปิยบุตร กล่าวว่า ที่ผ่านมาเรามักพูดว่าการเมืองมีความสกปรก มีการซื้อเสียง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ถ้าย้อนไปดูจะเห็นว่าพรรคเสรีมนังคศิลาของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ตั้งขึ้นมาในช่วงเปลี่ยนผ่านการปกครองก็มีการใช้อำนาจบารมี หรือตอนนี้เรียกว่าดูดนักการเมืองเด่นๆเข้ามาหลายคนเพื่อแข่งกับพรรคประชาธิปัตย์แล้วก็เกิดการโกงครั้งมโหฬารในกรุงเทพฯ
"จะเห็นได้ว่า มันเริ่มมาจากพรรคมนังคศิลาที่เป็นพรรคของทหารที่ตั้งใจจะเปลี่ยนตัวเองมาเล่นการเมืองในระบบ ตรงนี้เป็นเหตุหนึ่งให้ประชาชนเข้ามาประท้วง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็เข้ามาเป็นฮีโร่ แล้วทำรัฐประหารในปี 2500 จากนั้นก็ตั้งพรรคขึ้นหมือนกัน โดยมีคนสนับสนุน คือพรรคสหภูมิ เสร็จแล้วก็นำจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีก่อน เพราะจอมพลสฤษดิ์ ต้องไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ หลังจากนั้นจอมพลสฤษดิ์กลับมาใหม่ ก็มีการตั้งพรรคชาติสังคมไว้เตรียมรองรับอีก ทั้งหลายทั้งปวงคือชี้ให้เห็นว่าเป็นการสร้างพรรคการเมืองที่ทหารเข้ามามีบทบาท แล้วดึงดูดเอานักการเมืองแต่ละพื้นที่เข้ามารวมๆ กัน" นายปิยบุตร กล่าว
หลังจากจอมพลถนอมอยู่มาซักพัก ก็มีการทำรัฐธรรมนูญใหม่ ปี 2511 เพราะจอมพลถนอมประเมินแล้วว่าอยู่เป็นเผด็จการทหารต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ ต้องกลับไปเลือกตั้ง ก็เลยมีการเลือกตั้งในปี 2514 จอมพลถนอมก็เตรียมตั้งพรรคสหประชาไทย ก็เหมือนเดิม คือกวาดเอาผู้ที่มีโอกาสได้รับการเลือกตั้งมารวมกัน แล้วก็ดันเอาจอมพลถนอมเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง แต่จอมพลถนอมอยู่ในตำแหน่งต่อไปประมาณ 1 ปีเศษเท่านั้น ก็ทำรัฐประหารตัวเอง ที่ต้องทำเพราะเคยชินกับการอยู่อย่างสบาย อยากได้อะไรชี้เอาได้หมด แต่วันหนึ่งเจอฝ่ายค้านนั่งอภิปราย ไปต่อไม่ได้
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า ต่อมาประเทศไทยเข้าสู่ช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบ คือทหารรู้ว่ายึดอำนาจต่อไปไม่ได้ สุดท้ายต้องกลับไปเลือกตั้ง แต่จะทำอย่างไรให้คุมการเลือกตั้งได้ คือการเลือกตั้งเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ที่อวดว่าเราเป็นประชาธิปไตย แต่เอาเข้าจริงแล้วทหารยังคุมประเทศอยู่ รัฐราชการยังคุมประเทศอยู่ ตัวแบบคือรัฐธรรมนูญปี 2521 มีการเลือกตั้ง แต่เลือกเสร็จก็ต้องมีการอัญเชิญทหารมาเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีทหารนั่งอยู่ในวุฒิสภา ต้องมีทหารเป็นรัฐมนตรี ต้องมีข้าราชการประจำอยู่ในรัฐมนตรี การเลือกตั้งเป็นแค่เครื่องประดับตกแต่งเท่านั้น
ตอนนั้น พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ก็ตั้งพรรคเสรีธรรม มีปัญหาโรคร้อยเอ็ด คือการซื้อเสียง แล้วมรดกนี้ก็ยังต่อเนื่องมาอีก หลังรัฐประหาร ปี 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ก็เตรียมที่จะสืบทอดอำนาจเหมือนกัน ว่าวันหนึ่งจะเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่ไม่มี ส.ส.อยู่ในมือ ก็ใช้วิธีไปตั้งพรรคสามัคคีธรรม กวาด ส.ส.เข้ามา แล้วก็ได้ที่ 1 จริงๆ ด้วย นักการเมืองหลายคนก็ยังอยู่ในปัจจุบัน แล้วก็เหมือนเดิม เตรียมที่จะย้ายพรรคกันอีก
"ฉะนั้น ที่พูดมาทั้งหมดเป็นประวัติศาสตร์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า ธรรมเนียม วิธีการปฏิบัติที่เรามองกันว่ามันดูไม่ดีไม่งามทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นกวาด ส.ส.เข้าพรรค การซื้อเสียง การเลือกตั้งสกปรกต่างๆ ท่านลองคิดใหม่กันให้ดีๆ ว่ามันมาจากนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเดียว หรือมันเป็นพรรคการเมืองที่ทหารเข้าไปมีบทบาท มีความสัมพันธ์ด้วย แล้วพูดง่ายๆ คุณไม่มีกลไกที่จะได้ ส.ส. ก็ต้องใช้วิธีแบบนี้ นี่คือการเมืองแบบเก่า ฉะนั้น วันนี้ จะเกิดอะไรขึ้น เชิญตามสบาย อยากจะดูด ส.ส.ใครอยากจะย้ายพรรค เชิญตามสบาย ยิ่งเก่าเท่าไหร่ ความเก่ากับใหม่จะยิ่งแบ่งชัดเท่านั้น แล้วการเลือกตั้งครั้งที่จะมาถึง จะเป็นการขีดเส้นแบ่งระหว่างการเมืองแบบเก่ากับแบบใหม่" นายปิยบุตร กล่าว
ขณะที่ นายธนาธร กล่าวเสริมว่า หากเราเรียกร้องการเลือกตั้ง ก็จะได้แค่เสื้อคลุมที่เป็นประชาธิปไตย แต่เนื้อในไม่ใช่ ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำวันนี้ นอกจากเรียกร้องการเลือกตั้งแล้ว เราต้องเรียกร้องให้ถึงการยุติระบอบ คสช. สืบทอดอำนาจและแฝงตัวอยู่ในรูปแบบของรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ไม่ได้ รูปธรรมคือยุติรัฐธรรมนูญด้วย
พร้อมกันนี้ ขอเรียกร้องให้นักประวัติศาสตร์ลงบันทึกให้ชัดไว้เลย ว่ามีนักการเมืองคนไหน นักธุรกิจคนไหน สนับสนุนพรรคทหารที่จะเกิดขึ้นบ้าง เรื่องนี้สำคัญ เพราะถ้าไม่มีนักการเมือง หรือพรรคการเมืองสนับสนุน ทหารก็ทำไม่ได้ เราจะได้รู้ว่าใครมีส่วนสนับสนุนในการแย่งชิงอำนาจประชาชน
นายปิยะบุตร กล่าวเพิ่มเติมว่า การปฏิวัติครั้งล่าสุดผ่านมาจะครบ 4 ปีแล้ว แล้วถ้าจะสืบทอดอำนาจอีก ถามว่าคุณอยู่มาทำไม 4 ปี อยู่แค่ 1 ปี ตั้งพรรคลงเลือกตั้งได้เลย แต่อยู่มายาวอย่างนี้ถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ไพร่หมื่นล้านชนบิ๊กตู่!ชวนปิดทีวีดูไลฟ์สด ชิงเรตติ้งรายการศาสตร์พระราชาฯ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี