12 ก.ย.56 “แนวหน้าออนไลน์” ได้เสนอข้อความโดยสรุปจากการที่ พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ พระนามลำลองว่า "ท่านใหม่" พระโอรส ลำดับพระองค์ที่ 4 ใน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัวในเรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในมุมมองของราชสกุล และราชองครักษ์ เนื้อหาตอนแรกนี้ได้กล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรของพระองค์ท่าน แม้ในยามที่บ้านเมืองเปลี่ยน มีวิกฤต ไม่ว่าพระเสโทจะรินไหลเพียงใด แต่พระองค์ท่านก็มิเคยลืมที่จะรักและห่วงใยประชาชน
ข้อความที่พล.ต.ม.จ.จุลเจิมโพสต์ลงเฟซบุ๊ค
ในหลวง รักคนไทย อย่างไร...???
ผมเชื่อว่า เมื่อพูดถึง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คนไทยทุกหมู่เหล่าเรียกสั้นๆว่า ในหลวง
ในหลวงในที่นี้ รักคนไทยไหม??? ทุกคนที่เกิดและอาศัยอยู่บนแผ่นดินไทย ต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า รัก..แต่หากผมถามใหม่ว่า รักอย่างไร... ผมก็เชื่อว่าทุกคน..ตอบยากเหมือนกัน...เพราะการแสดงออก ในความรักราษฎรของพระองค์ท่านมีหลากหลาย บางเรื่องเป็นเรื่องง่ายๆ เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ที่เล่าสู่กันฟังแล้ว...เรารู้สึกอบอุ่น
ผมอยากให้ทุกคน พูด/หรือเขียน เล่าให้ผมฟังบ้าง... ผมอยากอ่าน อยากได้ยิน เรื่องราวที่ท่านได้พบ ได้สัมผัสจริงๆ และผมก็จะเล่าเรื่องที่ผมได้รู้ ได้เห็น ได้ฟัง แลกเปลี่ยนกับท่าน ผ่านทาง Face book ของผม เช่นกัน ผมขอเป็นคนแรกที่เปิดบันทึก “ในหลวงรักคนไทยอย่างไร” ...หน้าแรกเป็นประเดิมนะครับ..
เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา....คำพระราชาที่ทำให้คนไทยรู้จักเห็นอกเห็นใจ ซึ่งกันและกัน
ผู้มีความรู้มากมายถือเป็นคนเก่ง ถ้าได้ปกครองประเทศแล้ว ก็ถือว่าประเทศนั้นโชคดี ในช่วงชีวิตของผมได้เห็นหลายประเทศ มีคนเก่งระดับ ดร. บริหารประเทศ ประเทศก็เจริญรุ่งเรือง บางประเทศก็รุ่งริ่ง แต่คำถามที่น่าคิดคือ นอกจากความ “เก่ง” แล้วต้องมีสิ่งอื่นประกอบด้วยหรือไม่
ผมก็นึกถึง พระราชดำริในการแก้ปัญหาภาคใต้ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า การแก้ปัญหา ต้องเข้าใจ และเข้าถึง ถ้ารัฐบาลหรือผู้เกี่ยวข้องเข้าถึง เข้าใจในพระราชดำริ ป่านนี้ไม่เกิดม็อบสวนยางคงจะไม่บานปลายจนถึงทุกวันนี้ และในอนาคต และต่อมาอาจจะเกิดม็อบของเกษตรกร ตามมาในไม่ช้า ถ้าคนเก่งขาดความเข้าใจมีแต่ความรู้ ความรู้ก็อาจท่วมหัว อาจเป็นคนโง่ ทำเรื่องให้ตัวเองต้องอับอายขายหน้าได้ง่ายๆการมีคนเก่งมากๆแต่ขาดความเข้าใจแบบนี้ ประเทศนั้นก็อาจฉิบหายได้ชั่วพริบตา
เพราะความรู้ เป็นของตาย... แต่ความเข้าใจ ซึ่งเป็นของเป็นเมื่อเข้าใจจึงจะใช้ความรู้ได้ พลิกแพลงอย่างฉลาด อย่างพอดี อย่างเหมาะสม
บ้านเมืองเมื่อก่อนมีรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือดูแลและกำกับการปกครองบ้านเมือง ผู้ปกครองมีทศพิธราชธรรม มีธรรมนูญศาสตร์ มีหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นเครื่องกำกับและประคองการใช้พระราชอำนาจของพระเจ้าแผ่นดิน ที่ดูแลราษฎรและปกครองประเทศ ให้ระมัดระวังที่จะใช้ความรู้ที่ตัวเองมีอยู่นั้นอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการใช้อย่างพอดี อย่างเหมาะสม และหากจะเกิดเหตุให้ผู้ปกครองหรือพระราชา หลงลืมไปเมื่อไรก็ตาม ก็จะมีปราชญ์ราชบัณฑิตออกมาทักท้วง เสนอแนะ บางเรื่องก็ได้พระสังฆราชถวายคำแนะนำด้วยซ้ำไป
พระราชาในครั้งก่อน จึงปกครองด้วยอำนาจ พร้อมๆกับ ความ เมตตากรุณา ซึ่งกำกับด้วยหลักธรรมะ ในการปกครองตลอดเวลา จึงได้ชื่อว่าเป็น แผ่นดินแห่งความสงบสุข ร่มเย็น เป็น“สุวรรณภูมิ” พระราชาจึงจะได้คำสรรเสริญว่าเป็นธรรมิกราชา (พระราชาผู้ทรงยึดถือธรรม- ความถูกต้อง ในการปกครอง) โดยแท้จริง
ต่อมาคณะราษฎร ได้ลิดรอน /ซ่อนเงื่อนไขไว้ ไม่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนได้ถูกต้องตามหลักการ “ การปกครองแบบประชาธิปไตย” อันมี สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ด้วยเจตนา ของคณะราษฎร และการสืบทอดเจตนาของคณะราษฎรไม่ต้องการให้ สถาบันพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองของประเทศ จึงทำให้ ประเทศขาดซึ่ง “ ประมุขแห่งรัฐ” ที่ต้อง “ถือดุลในดุลของอำนาจอธิปไตย” หรือ อำนาจสูงสุดของประเทศ
แต่ความโชคดีของประเทศไทยเรา ที่มีในหลวง (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช) ที่ได้ทรงงานอย่างหนัก เพื่อช่วยเหลือราษฎร เกษตรกร ชาวนา ชาวเขา ให้พ้นจากความยากจนในระดับหนึ่ง เพราะเศรษฐกิจ คือรากฐานของการเมือง ดังนั้น การเกษตร, การชลประทาน,การพัฒนาอาชีพศิลปหัตถกรรม ฯลฯ ราษฎรของพระองค์ท่านจึงลืมตาอ้าปากได้ ผิดกับ ประเทศลาว,พม่า,เขมร,เวียดนาม ที่ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์
วันนี้ บ้านเมืองมีเหตุการณ์หลายอย่างที่บ่งชี้ว่า ผู้ปกครองมีความรู้มากขึ้น เป็นคนเก่งมากขึ้น แต่คงไม่เข้าใจเรื่องคุณธรรม โดยเฉพาะคุณธรรมในการปกครองประเทศ ธรรมในการปกครองสำคัญสองข้อ คือเรื่อง การไม่โกรธและความอ่อนโยน (ในทศพิธราชธรรม) จึงเป็นเรื่องที่ผู้นำประเทศใดมีอยู่แล้วละก็ บ้านเมืองจะร่มเย็นเป็นสุข แต่ความไม่โกรธนี้ไม่ใช่การละเลย ไม่สนใจ เพิกเฉย และความอ่อนโยนนี้ไม่ใช่การนิ่งรับ พูดแต่ปาก รับคำแค่ขอไปที
เรามีคนเก่งมากมายที่มุ่งเอาชนะ แก่กัน.. เหตุการณ์ความทุกข์ร้อนของชาวนา ชาวสวนยาง ชาวไร่ เรื่องการขาดแคลนน้ำ ไฟป่า ภัยจากน้ำท่วม – น้ำแล้ง เป็นต้น กลายเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ของคนใจดำ ที่แสวงหาประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวก มากกว่าช่วยบำบัดทุกข์ของราษฎรเหล่านั้น ปัญหาจึงเกิดซ้ำซาก ไม่รู้จบ
ผมยังจำภาพสองนายพล ผู้ปะทะกันด้วยเหตุทางการเมือง “พฤษภาทมิฬ” ได้ดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งไม่มีตำแหน่งและอำนาจใด ๆ ทางการเมืองเลย แต่ทรงยุติวิกฤตของชาติได้ ด้วยคำขอร้องแก่สองนายพลที่ว่า...
“....ท่านทั้งสองถือเป็นตัวแทนของฝ่ายต่างๆ..... ขอให้คิดถึงประชาชน คิดถึงประเทศชาติ สุดท้ายจะไม่มีใครชนะ มีแต่แพ้ บ้านเมืองก็แพ้ แพ้ทั้งหมด...... จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตนว่าชนะ เวลาที่อยู่บนกองซากปรักหักพัง... ขอให้หันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน..ด้วยความรักชาติ ..สร้างสรรค์ประเทศ ให้เข้าสู่ความปลอดภัยในเร็ววัน...ขอฝากไว้ด้วย..”
วันนั้น ไมมีใครเดาใจท่านนายพลทั้งสองถูก และไม่อาจจะเดาได้ แต่ที่สุดก็ขอชื่นชมท่านนายพลทั้งสองว่าท่านทั้งสอง “ยอมรับ” คำร้องขอของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยอมเปลี่ยนแปลงกลางคัน โดยคิดถึงชาติ บ้านเมือง มากกว่าตนเองและพวกพ้อง
วันนั้น ทุกคนรวมทั้งผม ดีใจมาก ที่พระองค์ออกมาช่วยดับไฟ ดับวิกฤตของประเทศ ชนิดที่คนทั่วประเทศได้แต่หวัง แต่ไม่กล้าคิด เพราะสถาบันต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ในที่สุด แม้ในยามวิกฤตที่สุดของบ้านเมือง พระองค์ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า ทรงรักและห่วงใยประชาชน ก็ยังคิดถึงความสงบสุขและปลอดภัยของประชาชนยิ่งกว่าชื่อเสียงของพระองค์เอง
เมื่อครั้ง รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาการปลูกฝิ่น เพราะต่อสู้กับยาเสพติดแทบไม่ไหวแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นว่า ปัญหาและความทุกข์ของพวกเขา นั้นต้องทำความเข้าใจอะไรบ้าง อย่างไร และทรงเข้าถึงวิธีการ เพื่อแก้ปัญหาและความทุกข์ของเขาเหล่านั้น ๑๐ ปีต่อมาปัญหาชาวเขาปลูกฝิ่นแทบหมดไปจากแผ่นดินไทย ด้วยโครงการหลวง ดังที่ทุกคนทราบอยู่
ด้วยความรัก และพระเมตตาของพระองค์ แม้ไม่มีหน้าที่เกี่ยวพันในทางการบริหารบ้านเมืองอีกแล้ว แต่ทศพิธราชธรรม ยังสถิตอยู่ในสายพระโลหิต (เลือด) ยังทรงตรากตรำไปทั่วทุกภูเขา คงรัก พระราชทานพระเมตตาต่อราษฎรเหล่านั้น จนชาวเขาเลิกปลูกฝิ่นโดยสมัครใจ
วันนี้ เราไม่เห็นรัฐบาลฯ ที่พยายามจะเข้าใจปัญหาและความทุกข์ของราษฎรมากนัก เพราะหูหนวก ตาบอดเสียแล้ว และพาลหูหนวกตาบอด รวมไปถึงข้าราชการในระดับต่างๆ ด้วย ที่ปฏิเสธ ที่จะได้ยิน ปฏิเสธที่จะเข้าใจ ...ไม่ยอมพยายาม เข้าให้ถึง...เห็นแต่คนผู้ที่มุ่งจะใช้เป็นโอกาสแสวงหาลาภยศต่างๆ เมื่อข้าราชการ ไม่รักษาหน้าที่ ไม่ทำสิ่งที่ควรทำ กระทั่งไม่ฟังแม้เสียงร้องทุกข์ของราษฎรแล้ว ก็ไม่แปลกที่บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ...ข้าราชการไม่สำนึกตามที่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นิยามความหมายของข้าราชการไว้ว่า.....ข้าราชการคือผู้มีความเมตตายิ่ง กรุณายิ่ง เราผู้ที่เป็นข้าราชการต้องไม่ทำร้ายประชาชน ปัญหาทั้งหลายต้องแก้กันด้วยเหตุ และผล
คิดถึง ความรักและเมตตาของพระราชาแล้ว ก็ใจหาย...
อ่านข่าว คำที่ว่า'ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน' พระองค์ทรงทำเกินกว่าหน้าที่??
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี