6 พ.ย.56 ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยถึงกระแสการต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่ง ที่ปัจจุบันมีจำนวนคนออกมาคัดค้านมากขึ้นเรื่องๆ พร้อมกับขยายวงการขวางออกไปว่า ขณะนี้รัฐบาลเห็นอยู่แล้ว ทำแค่นี้เห็นผลอย่างนี้ และหากยังข่มขืนใจประชาชนอีก การประท้วงก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก

เมื่อถามว่า หากทางวุฒิสภาจะใช้ดุลยพินิจไม่ผ่านร่างกฎหมายนี้ หลังจากนั้นต้องรอให้พ้น 180 วัน จึงนำกฎหมายนี้มาพิจารณาใหม่ได้ แล้วกระแสการต่อต้านจะอ่อนแรงลงหรือไม่ ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า เหตุการณ์ประท้วงกฎหมายนิรโทษ เราต้องวิเคราะห์ก่อนว่า การออกมาของผู้ชุมนุม ออกมาเพราะมีคนเรียกร้อง หรือว่า ออกมาเพราะผู้คนทนไม่ไหว  ซึ่งหากเป็นอย่างกรณีหลัง ทนไม่ไหว จึงไม่ใช่เรื่องของระยะเวลา

ส่วนกรณีคนมีชื่อเสียง ดารา นักแสดง หรือผู้มีส่วนได้เสียกับการโฆษณา ที่ปกติจะไม่ค่อยออกมาแสดงตัวไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล หรือออกเรียกร้อง หรือชุมนุมในที่สาธารณะ ด้วยเพราะกลัวตัดทางทำมาหากิน ปัจจุบันนี้เปิดหน้าแสดงตัวนั้น ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า เพราะคนเหล่านั้นทนไม่ไหว ต้องการออกมาบอกว่า “ฉันรับคุณไม่ได้แล้วนะ” ฉะนั้น รัฐบาลต้องหยุด และแม้จะทอดเวลาไป 6 เดือน หรือระยะเวลาเท่าไหร่ก็ตาม เรื่องนี้มันฝังใจไปแล้ว หากรัฐบาลรอเอาไว้แล้วอีก 6 เดือนหยิบกฎหมายนิรโทษขึ้นมา และทำเหมือนเดิมอีก ก็จะเกิดเหตุการณ์ลักษณะเช่นเดียวกันนี้

ผศ. ดร. กิตติศักดิ์ กล่าวถึงการยกระดับการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วงคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมว่า หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขจะนำไปสู่การนัดหยุดงาน (Generation Strikes) ซึ่ง Generation Strikes ไม่มีใครเรียกด้วย เช่น นักธุรกิจ พนักงานภาคเอกชน แถวสีลมออกมาเป่านกหวีด ถือเป็นการนัดหยุดงานเพื่อเตือนรัฐบาลแล้ว แค่เขายังไม่ทำให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเท่านั้นเอง หากวันใดวันหนึ่งมีการนัดออกไปประท้วง ทั้งพนักงานบริษัทเอกชน เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ นัดลาหยุดพร้อมกัน ประเทศจะหยุดไปเฉยๆ กระทบเศรษฐกิจแน่นอน

ผศ. ดร. กิตติศักดิ์ กล่าวด้วยว่า กฎหมายนิรโทษฉบับนี้ ผิดต่อหลักนิติธรรม และเห็นว่า  กฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ไม่ได้ขัดกับมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญปี 50