“กรุงเทพฯ” เมืองศิวิไลซ์...
ทุกหลืบมุมเต็มไปด้วยสีสัน แต่ในเวลาเดียวกันซอกหลืบเหล่านั้นก็กลายเป็น “มุมมืด” ที่ซุกซ่อนเร้นกายขอเหล่า “อาชญากร” ที่รอคอยโอกาสก่อสารพัดอาชญากรรมทั้ง “ลัก วิ่ง ชิง ปล้น ฆ่า ข่มขืน” ซึ่งหลายๆคดี “ตำรวจ” สามารถติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีได้โดยพลัน แต่มีอีกหลายๆคดีเช่นกันที่ “ล่าช้า” ปล่อยให้คนร้าย “ลอยนวล” เพราะสืบหาข่าวและพยานหลักฐานได้ไม่เพียงพอ รวมถึงอุปกรณ์ในการ “ล่า” คนร้ายไม่เอื้อต่อการทำงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เล็งเห็นถึง “ข้อบกพร่อง” นี้ เมื่อหลายปีก่อนจึงมีคำสั่งให้จัดตั้ง “กองกำกับการวิเคราะห์ข่าว และเครื่องมือพิเศษ” ในทุกกองบัญชาการ เพื่อทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลอาชญากรรมทั้งหมดของพื้นที่มารวมไว้ แล้วนั่ง “คิด วิเคราะห์ แยกแยะ” เพื่อพิสูจน์ทราบว่าคนร้ายเป็นใคร อยู่ที่ไหน.??? แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นกองกำกับการวิเคราะห์ข่าวฯของกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) เพราะถูกนำไปเป็น “โมเดล” ในการปฏิบัติงานของหลายหน่วยงานในสังกัด สตช.
“กองกำกับการวิเคราะห์ข่าวฯของ บช.น.จะทำงานภายใต้คอนเซ็ปต์ CCOC : Command and Control Operations Center เป็นหน่วยสนับสนุนการสืบสวนของทุกโรงพักในพื้นที่ บช.น. และจากความพร้อมเรื่องอุปกรณ์ รวมถึงวิทยากร ที่นี่ยังทำหน้าที่เหมือนโรงเรียนนักสืบด้วย” พ.ต.อ.อรรถพร สุริยเลิศ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บช.น. อธิบายถึงการทำงานของหน่วยงานแห่งนี้พ.ต.อ.อรรถพร อธิบายต่อว่า กก.วิเคราะห์ข่าวฯมีหน้าที่สร้าง “เครื่องมือ” เพื่อสนับสนุนการสืบสวนของทุกพื้นที่ ไล่ตั้งแต่ 1.People ware หรือ “คน-บุคลากร” ที่นี่เป็นเหมือน “โรงเรียนนักสืบ”เพราะฝ่ายสืบสวนจากหลายๆพื้นที่จะถูกส่งมา “ฝึกวิชา” ที่นี่ เราจะทำหน้าที่ “สร้างคน” ขึ้นมา นักสืบที่ผ่านการอบรมจากที่นี่ไปสามารถเป็น “อาจารย์” ได้เลย หลายๆคนจะ “เชี่ยวชาญ” ในการ “ดูกล้อง” วิเคราะห์ข้อมูลทางเทคโนโลยี เส้นทางการเงิน เป็นต้น
“ถ้าเทียบกันแบบปอนด์ต่อปอนด์ แล้ว กก.วิเคราะห์ข่าวฯของ บช.น.ถือว่าฝีมือดีที่สุด โดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ที่ผ่านมามีหลายๆ คดีที่ต้องเรียกตัวทีมงานจาก กก.วิเคราะห์ข่าวฯของ บช.น.ไปช่วย เนื่องจากมีความชำนาญ และมีเครื่องมือที่พร้อมกว่าหน่วยอื่นๆ แต่ที่สำคัญ คือ ทีมงานสืบสวนจากที่นี่อึด ถึก ทน นั่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดได้ทั้งวัน เทียบเวลากล้องแต่ละตัวได้แม่นยำ และจัดเป็นฉากๆได้ว่าแต่ละช่วงเวลาคนร้ายนั้นไปทำอะไร อย่างไร เวลาเท่าใด” พ.ต.อ.อรรถพร กล่าว
2.Hardware ที่นี่จะมี “เครื่องมือพิเศษ” เพื่อสนับสนุนการสืบสวน บางชนิดสามารถ “ซุกซ่อน” เก็บภาพเป้าหมายในทางคดีได้ รวมถึงอุปกรณ์ในการเก็บร่องรอย ลายนิ้วมือ หรือพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ เพื่อใช้รวบรวมพยานหลักฐาน จนสามารถออก “หมายจับ” และติดตามคนร้ายมาดำเนินคดี ซึ่งเราพยายามยกระดับให้เหมือนกับในต่างประเทศ เหมือน “หน่วย CSI”
“ถ้าเทียบกับหน่วยงานลักษณะเดียวกัน ผมกล้าพูดได้ว่าเราเก่งที่สุดในอาเซียน ส่วน CSI นั้น ทำงานในลักษณะสืบสวนจากที่เกิดเหตุ ซึ่งหน่วยของเรามีการทำงานในลักษณะนี้เช่นกัน แต่จะพยายามให้ลึกกว่า CSI ตรงที่เรามีการเก็บข้อมูลย้อนหลังด้วย” พ.ต.อ.อรรถพร กล่าว3.Software กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บช.น. มี “โปรแกรม AEC MB-POL” ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ใช้ “จัดเก็บ” ฐานข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ ไล่ตั้งแต่ “ข้อมูลบุคคล” ซึ่งแยกย่อยเป็น 28 กลุ่ม เช่น กลุ่มที่มีหมายจับ ผู้มีอิทธิพล นักการเมืองท้องถิ่น บุคคลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เป็นต้น และ“ข้อมูลสถานที่” ที่เกี่ยวข้อง หรือเสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม เช่น ที่พัก ร้านแก๊ส สถานที่แลกเงิน โรงจำนำ จุดติดตั้ง “กล้องวงจรปิด” เป็นต้น ทั้งหมดจะถูกจัดเก็บลง “ถังข้อมูล” ซึ่งสามารถนำไปใช้ประกอบการวางแผน “ป้องกัน ปราบปราม ติดตามหา” คนร้ายของแต่ละพื้นที่ได้
“ถ้าเราจะสู้ หรือรบให้ชนะคนร้าย เราต้องรู้เขา รู้เรา รบกี่ครั้งก็ชนะ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดที่จัดเก็บไว้นั้นฝ่ายสืบสวนของแต่ละพื้นที่สามารถดึงไปใช้ เพื่อวิเคราะห์ และติดตามคนร้ายได้ง่ายขึ้น เพราะจะเชื่อมโยงให้นักสืบในพื้นที่ต่างๆใช้เป็นข้อมูลในการสืบค้นหาคนร้ายได้ ข้อมูลที่เรามีทั้งดีเอ็นเอ ลายนิ้วมือแฝง รอยล้อรถ เป็นต้น เราเก็บลงไว้หมด นอกจากนั้นข้อมูลพฤติการณ์ต่างๆของคนร้ายที่เราพบ หรือเก็บไว้ ยังสามารถนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานทางคดี หรือทำแผนประทุษกรรมคนร้ายได้” พ.ต.อ.อรรถพร กล่าวพ.ต.อ.อรรถพร กล่าวด้วยว่า จากการที่ผ่านงาน “สืบสวน” มาเกือบตลอดชีวิตราชการ ทำให้มองว่าทุกวันนี้โลก “เปลี่ยนไป” ซึ่งนักสืบก็ต้องปรับตัวให้ทัน จะใช้แค่การ “เดินดิน” หรือ “คนไปหาของ” เจอผู้ต้องสงสัยก็นำตัวมาสอบปากคำเหมือนเดิมแทบไม่ได้แล้ว นักสืบต้อง “Change” เปลี่ยนมาเป็นสืบสวนจากพยานหลักฐาน เพื่อเชื่อมโยงไปหาคนร้ายว่าเป็นใคร และรวบรวมพยานหลักฐานให้ศาลเห็นว่านี่คือคนร้ายตัวจริง ไม่ใช่ “แพะ” นำมาซึ่งการออก “หมายจับ” คนร้ายต่อไป
“การสู้กับคนร้ายเปลี่ยนไป ทุกวันนี้สู้กันด้วยการพิสูจน์ทราบว่าใครเป็นคนร้ายในที่เกิดเหตุ และคนร้ายนั้นหนีไปไหน ซึ่งข้อมูลต่างๆที่หน่วยเราจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบจะมีส่วนช่วยให้นักสืบรุ่นใหม่มีฐานข้อมูลในการใช้สืบสวนติดตามคนร้ายได้เร็วขึ้น” พ.ต.อ.อรรถพร กล่าวพ.ต.อ.อรรถพร กล่าวอย่างมั่นใจว่า เวลานี้วิธีการทำงานของ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บช.น.จะเป็น “แม่แบบ” ให้กับนักสืบของ สตช. ซึ่งให้ใช้ “นครบาลโมเดล” เป็นต้นแบบในการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะถ้า บช.น.มีแผนประทุษกรรมคนร้าย เช่น ด้าน “โจรกรรมรถ” แล้ว ลิงค์ข้อมูลกับหน่วยอื่นๆ ที่ทำไว้เช่นเดียวกัน ข้อมูลแก๊งพวกนี้ก็จะโยงใยอยู่ในถังข้อมูล ช่วยให้สอดประสานติดตามคนร้ายร่วมกันได้ง่ายขึ้น
พ.ต.อ.อรรถพร กล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าทุกหน่วยงานของ สตช.เชื่อมข้อมูลถึงกันได้ ประชาชนจะมั่นใจได้ว่าเมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้ว ตำรวจจะจับกุมคนร้ายให้ได้แน่ๆ ขณะเดียวกันข้อมูลของคนร้ายจะถูกนำไปใช้เป็น “เกราะ” เพื่อป้องกันภัยจากอาชญากรรมรูปแบบต่างๆให้ประชาชนได้ นี่คือนโยบายของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่เน้นย้ำว่าตำรวจต้องลดปัญหาอาชญากรรม และเพิ่มประสิทธิภาพในการจับกุมไปพร้อมๆกัน คดีต้องน้อยลง และต้องจับให้ได้มากขึ้น ดังนั้นใครก็ตามที่คิดจะเป็น “มิจฉาชีพ” ให้รู้ไว้เลยว่าตอนนี้ฝ่ายสืบสวนของ บช.น. มีเครื่องมือ มีความสามารถมากพอในการสืบสวน ติดตาม จับกุมคนร้ายได้แน่นอน ใครที่เป็น หรือกำลังคิดที่จะเป็น “โจร”...ขอให้ “หยุด”!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี