“เคยมีผู้บริหารของบริษัทมาคุยกับผม ผมก็บอกว่าไม่เคยมีการมาถามชาวบ้านเลย แล้วอีไอเอผ่านได้อย่างไร? แล้วที่มาบอกผู้นำชุมชน ก็ไม่ควรมาบอกแค่ฝ่ายเดียว แต่จะต้องทำหนังสือมา แล้วให้ผู้นำประกาศผ่านเสียงตามสายว่าวันนี้เขาจะมาทำอีไอเอนะ ให้ชาวบ้านไปประชุมกันว่าจะเอาไม่เอาอย่างไร ไม่ใช่ยกมือสี่ห้าคนแล้วก็ผ่าน”
เสียงสะท้อนจาก “ประสงค์ อ่อนโพทา” ชาวบ้าน ต.หนองใหญ่ อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ บอกเล่ากับ “สกู๊ปแนวหน้า”
เมื่อครั้งติดตามคณะของ “สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ”(กสม.) ลงพื้นที่รับฟังเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ จ.ขอนแก่น เมื่อปลายเดือน มี.ค. 2559
“ประสงค์” เล่าว่า ด้วยความที่ ต.หนองใหญ่ เป็นเขตติดต่อกับ ต.ดูนสาด อ.กระนวน จ.ขอนแก่น พื้นที่ซึ่งมีการขุด
เจาะสำรวจหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ทำให้ชาวบ้าน “วิตกกังวล” เพราะสุ่มเสี่ยงที่จะนำสารพิษขึ้นมาสู่ผิวดินและแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ทว่าขั้นตอนการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ “อีไอเอ-EIA” กลับทำกันแบบ “ไม่ถูกขั้นตอน” เพราะกระบวนการจัดทำไม่ได้ประกาศให้ประชาชนในพื้นที่ทราบโดยทั่วกัน แต่ใช้วิธีเข้าหาผู้นำชุมชน จึงรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากชาวบ้านจำนวนมากไม่ทราบว่าจะมีการประชุม
นอกจากไม่ทราบว่าจะมีการทำอีไอเอแล้ว “ข้อมูล” ก็เป็นสิ่งสำคัญ...“เรียบ จันทะมิตร” ชาวบ้าน ต.หนองใหญ่ อีกราย กล่าวว่า การให้ข้อมูลกับชาวบ้าน สิ่งที่พบ คือ “ไม่ครบถ้วน” โดยจะบอกเฉพาะ “ข้อดี” ด้านเดียว แต่ไม่บอกเรื่อง “ผลกระทบ” ทำให้ประชาชนไม่มีข้อมูลรอบด้านสำหรับการตัดสินใจ
“เวลาประชุมเขามีจอโปรเจกเตอร์มาฉาย บอกว่ามีแต่สิ่งดีๆ มา ชาวบ้านก็ฟังอย่างเดียว ไม่ได้ถาม เพราะชาวบ้านไม่รู้เหมือนกัน เขาว่าอะไรก็ว่าดี จนมาเริ่มขุดแล้วถึงรู้” เรียบ กล่าว
เหตุใดจึงต้องกังวล?..ชาวบ้านทั้ง 2 ราย กล่าวตรงกันว่า เพราะเห็นผลกระทบในพื้นที่ ต.ดูนสาด สวนยางพาราในพื้นที่ให้น้ำยางลดลง ส่งผลให้เกษตรกรผลิตยางแผ่นดิบได้น้อยลง โดย “ประสงค์” กล่าวว่า จากเดิมที่เคยผลิตได้เฉลี่ย 30-40 แผ่นต่อวัน แต่เมื่อมีการขุดเจาะสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ พบว่าลดลงเหลือเพียง 20-25 แผ่นต่อวัน ขณะที่ “เรียบ” กล่าวว่า มีฝุ่นละอองปกคลุมสวนยาง และต้นยางบางส่วนตาย และที่รู้สึก “อึดอัดใจ” คือ ทุกครั้งที่ชาวบ้านเริ่มคัดค้านจะมีเจ้าหน้าที่รัฐมาห้ามปราม
ทั้งที่ไม่ใช่ “ม็อบการเมือง” แอบแฝง...
แต่เป็น “ความเดือดร้อนของประชาชน” อย่างแท้จริง!!!
“สุวิทย์ กุหลาบวงศ์” เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน(ภาคอีสาน) กล่าวในเวทีอภิปราย “สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ณ โรงแรมโฆษะ อ.เมือง จ.ขอนแก่น วันที่ 29 มี.ค. 2559 ระบุว่า เรื่องของโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่รัฐร่วมมือกับเอกชน เมื่อจะมีการทำรายงานอีไอเอ ประชาชนควรได้รับทราบข้อมูลทั้ง 2 ด้าน ไม่ว่าข้อดีหรือผลกระทบ อีกทั้งโครงการต่างๆ ของรัฐที่มีผลกระทบกับประชาชนต้อง “เปิดกว้าง” ให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบหรือเกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าวได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ห้ามปราม “ขัดขวาง” อย่างที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะปัจจุบันที่มีการนำ “พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558” มาใช้อย่างเข้มงวด ซึ่งสุ่มเสี่ยงว่าจะกลายเป็น...
“ความขัดแย้ง” ที่ “ร้าวลึก” ในระยะยาว!!!
“สุวิทย์” ยกตัวอย่างที่ “ขอนแก่น” มีการเคลื่อนไหวคัดค้านการย้ายสถานีขนส่ง บขส. แล้วมีการชุมนุม ก็ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ตรงนี้มันเป็นภาระมากของชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ ชาวบ้านหลายพื้นที่วันนี้บอกว่าจะเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ในอนาคตความขัดแย้งจะมีมากขึ้น ทั้งระหว่างรัฐกับประชาชน และระหว่างประชาชนกับบริษัทเอกชน
อีกหนึ่งปัญหา คือ เรื่อง “ข้อมูลข่าวสาร” เราจะเห็นเสมอถึงโครงการพัฒนาต่างๆ ของรัฐ หรือเอกชน สิ่งสำคัญคือข้อมูลข่าวสารชาวบ้านมักไม่ค่อยได้รับรู้ คือรับรู้ด้านเดียวว่ามีแล้วจะดีอย่างไร แต่ไม่พูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากโครงการพัฒนานั้นๆ ทั้งๆที่เป็น “สิทธิขั้นพื้นฐาน” ที่ประชาชนควรได้รับรู้
ข้อกังวลดังกล่าวต้องบอกว่า “เกิดขึ้นแล้ว” เห็นได้จากหลายปีมานี้ กระแส “ไม่เอาอุตสาหกรรม” ขยายวงกว้างไปในทั่วทุกภาคของประเทศไทย ไม่ว่าโรงไฟฟ้า นิคมอุตสาหกรรม โรงงานกำจัดขยะ แม้แต่สาธารณูปโภคพื้นฐานอย่าง “ถนน-รางรถไฟ” ยังถูกคัดค้าน ราวกับอุตสาหกรรมเป็น “ปีศาจร้าย” ที่จะมากินเลือดกินเนื้อชาวบ้าน
“วิฑูรย์ กมลนฤเมธ” ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า วันนี้ภาคธุรกิจกังวลมากไม่แพ้ภาคประชาชน เพราะเมื่อจะก่อสร้างอะไรก็ถูก “ต่อต้าน-คัดค้าน” ไปเสียทั้งหมด ทั้งที่สาเหตุมาจากผู้ประกอบการแย่บางรายที่ “ไม่รับผิดชอบต่อสังคม” เช่น ปล่อยมลพิษออกสู่ชุมชนโดยรอบ หากผู้ประกอบการ “ทำตามหลักวิชาการ” ย่อมป้องกันหรือลดผลกระทบดังกล่าวได้
ฉะนั้นต้องอยู่ที่ “ภาครัฐ” ในฐานะ “ผู้คุมกฎ” ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ “ตรงไปตรงมา” เพียงใด?
“วิฑูรย์” กล่าวด้วยว่า ต้องย้อนกลับไปดูว่าถ้าเราหนีอุตสาหกรรมไม่ได้ แล้วเราไปต่อต้านมันเสียทุกเรื่อง อุตสาหกรรมเกิดไม่ได้ ต้องถามกลับว่าแล้วเราไม่มีอุตสาหกรรมได้ไหม? ไม่มีไฟฟ้าได้ไหม? ไม่มีรถยนต์ได้ไหม? คำตอบคือไม่ได้ ตนไม่ได้ห้ามต่อต้านนะ แต่เราต้องยึดหลักเหตุและผล ดูว่าผู้ประกอบการเขามีระบบปกป้องดูแลสิ่งแวดล้อมที่ดีเพียงใด
“ตรงนี้เป็นเรื่องของการทำอีไอเอ ภาครัฐมีส่วนเกี่ยวข้องเยอะ เพราะกำกับดูแลการออกใบอนุญาตให้เขาประกอบการ ถ้าภาครัฐขาดความเข้มงวด ใส่ใจ หรือไปรับเงินใต้โต๊ะ แล้วเขาทำไม่ครบตามหลัก แล้วไปออกใบอนุญาตให้เขา อย่างนี้ภาครัฐต้องรับผิดชอบ เพราะถือว่าไม่เป็นธรรมาภิบาล เป็นการคอร์รัปชั่น ตรงนี้น่าเป็นห่วง” ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น ฝากข้อคิด
บทความ “กระบวนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยจากมุมมองตลาดแรงงานหายไปไหน?” เขียนโดย “ดร.เสาวณี
จันทะพงษ์” นักวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ระบุว่า สัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี-GDP) ภาคการเกษตรค่อยๆลดลงตามลำดับ จากร้อยละ 20 ในปี 1972 (พ.ศ.2515) เหลือเพียงร้อยละ 9 ในปี 2014 (พ.ศ.2557) สวนทางกับภาคอุตสาหกรรมที่เติบโตเพิ่มขึ้นจาก
ร้อยละ 24 เป็นร้อยละ 39 ในช่วงเวลาเดียวกัน
เช่นเดียวกับเว็บไซต์ http://www2.ops3.moc.go.th/ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ในหมวดสินค้าออกสำคัญ 10 อันดับแรก พบว่าส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมทั้งสิ้น สะท้อนให้เห็นว่า “อุตสาหกรรมเป็นตัวจักรหลักในการพัฒนาประเทศ”
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต้อง “รับผิดชอบต่อสังคม” ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ
ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้อง “เป็นกลาง” ไม่แสดงท่าทีที่ทำให้ถูกมองว่าเข้าข้างกลุ่มทุนเอกชนมากเกินไป จนทำให้ภาคประชาชนขาดความไว้วางใจ ตามมาด้วยการต่อต้านคัดค้าน เพราะท้ายที่สุด...
ผลร้ายย่อมตกอยู่กับ “ประเทศไทย” ที่พัฒนาไปต่อไม่ได้เลย!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี