วันอาทิตย์ ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / สกู๊ปพิเศษ
ฟื้นฟู ‘กระบวนการไกล่เกลี่ย’ ยุติ ‘ความขัดแย้ง’ อย่างมิตรภาพ

ฟื้นฟู ‘กระบวนการไกล่เกลี่ย’ ยุติ ‘ความขัดแย้ง’ อย่างมิตรภาพ

วันศุกร์ ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556, 02.00 น.
Tag :
  •  

ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ใครบ้างที่จะไม่เคยประสบข้อขัดแย้ง เพียงแต่จะมากหรือน้อย รุนแรงหรือไม่ก็แล้วแต่บุคคล ตราบใด
ที่ยังต้องอยู่ในสังคมที่มีคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ความรู้สึกขัดข้องหมองใจระหว่างกันและกันล้วนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ลุกลามบานปลาย เพราะต่างฝ่ายต่างมี “ทิฐิมานะ” ถือดีในศักดิ์และสิทธิ์ของตน จากนั้นก็หาพวกพ้อง หรือเหตุผลร้อยแปดมาสนับสนุน ทางหนึ่งจบลงด้วยการใช้กำลังเข่นฆ่าทำร้าย อีกทางหนึ่งคือการฟ้องคดีขึ้นโรงขึ้นศาล แต่ไม่ว่าจะเป็นทางใดทั้งสองฝ่ายมักจะไม่อาจกลับมามองหน้า พูดจาปราศรัยกันในทางที่ดีต่อกันได้อีก

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีการค้นพบว่า หากมีกระบวนการไกล่เกลี่ยเจรจา ผ่านบุคคลที่น่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับจากคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ก่อนที่ความขัดแย้งจะบานปลายแล้ว โอกาสที่คู่กรณีจะจบลงด้วยความเข้าใจอันดีต่อกัน ไม่ลุกลามเป็นความรุนแรงก็เป็นไปได้สูง อย่างโครงการ “ศูนย์ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท” ที่สนับสนุนโดย กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งเราขอยกตัวอย่างบางกรณี ที่อาสาสมัครโครงการ สามารถระงับข้อพิพาท ให้จบลงได้ด้วยดีทั้งสองฝ่าย มานำเสนอให้ทุกท่านรับทราบกัน


เหตุเกิดจาก ‘คุณค่าทางใจ’

อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร ที่มีการจราจรคับคั่ง ประกอบกับชีวิตที่ต้องเร่งรีบแข่งขัน บางครั้งเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นได้ เช่น กรณีของ สมศรี วิมลจันทร์ อาสาสมัครไกล่เกลี่ยประจำเขตสายไหม ยกตัวอย่างที่ได้รับการไหว้วานจากประชาชนเขตบางพลัด กรณีร้านค้าแห่งหนึ่ง ถูกรถบรรทุกชนได้รับความเสียหาย และตกลงกันเรื่องเงินเยียวยาไม่ได้

“ผู้เสียหายที่เขตบางพลัด เขารู้จักกับชุมชนในเขตลาดพร้าว แล้วเขตลาดพร้าวก็แนะนำให้มาหา ก็รับเรื่องมาเป็นทอดๆ ทีนี้พอไปพบผู้เสียหาย ต้องถามคำถามเปิด ให้เขาพูดว่ามันเป็นยังไง ให้เขาเล่าให้เราฟัง ก็คือมีอยู่คืนหนึ่ง ร้านเขาที่ขายเฟอร์นิเจอร์ อยู่ตรงหัวมุม U-Turn (จุดกลับรถ) พอดี พอรถ 6 ล้อ U-Turn มา ก็เสยเข้าไปในร้านพอดี ปรากฏว่าหน้าร้านเขาก็มีรูปปั้นสิงห์ที่คนจีนนับถือ แล้วก็ตุ๊กตาตายาย แล้วก็มีท่อระบายน้ำ ต่อจากข้างบนลงมาข้างล่าง รถก็เข้าไปชน ดีกว่าเป็นกลางคืน และความเสียหายก็ไม่เข้าไปถึงในร้าน”

คุณสมศรี เล่าถึงกรณีที่รับงานไกล่เกลี่ยข้ามเขต ซึ่งหากดูในจุดนี้ ก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหายร้ายแรง เพราะรถไม่ได้พุ่งเข้าไปในร้าน และไม่มีบุคคลใดได้รับอันตราย ทว่าเรื่องก็ไม่ได้ง่ายดายนัก เพราะผู้เสียหายเรียกร้องเงินเยียวยาจากบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง เป็นจำนวนถึง 15,000 บาท ขณะที่ บ.ประกันภัย ยืนยันว่าจะจ่ายเพียง 8,000 บาทเท่านั้น

แน่นอนว่าหากประเมินเพียงสิ่งของที่เสียหาย การคำนวณของ บ.ประกันภัย ถือว่าถูกต้อง เพราะทั้งหมดจะมีราคาไม่เกิน 8,000 บาทจริงๆ แต่สำหรับมนุษย์ที่มีด้านของจิตใจแล้ว รูปปั้นสิงห์ก็ดี ตุ๊กตาตายายก็ดี เป็นตัวแทนของความเชื่อ ว่าหากนำมาประดับไว้เพื่อบูชาแล้วจะทำให้ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นการนำมาติดตั้งใหม่ ไม่ได้มีเพียงการนำรูปปั้นมาตั้งเท่านั้น แต่ต้องมีการทำพิธีอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้มาสถิตอยู่ ณ รูปปั้นเหล่านี้ด้วย

“เขาเจรจากับประกันของรถ 6 ล้อที่ชน เจรจาอยู่ 8 เดือนไม่สำเร็จ ผู้เสียหายเรียก 15,000 บาท ประกันจะจ่ายแค่ 8,000 บาท เราก็หาข้อมูล สิงห์ราคา 4-5 พันบาท ตุ๊กตาตายายคู่ละไม่กี่ร้อยบาท พอรวมกับท่อระบายน้ำ ค่าเสียหายที่ประกันเขาคิดว่า 8,000 ก็ OK เราก็ถามผู้เสียหายว่าทำไม? เขาก็บอกว่า.. หนูต้องอัญเชิญตายาย อัญเชิญสิงห์มาไว้หน้าร้านเหมือนเดิม เราก็เลยบอกว่าพบกันครึ่งทางได้ไหม? คุณจะทำพิธี มันเรียกร้องอะไรไม่ได้

เราก็ไปเจรจากับทางประกัน บอกหมื่นสองได้ไหม? เพราะบริษัทประกัน ถ้าไปโฆษณาคุณจะใช้เงินเป็นแสนนะ แต่ถ้าผู้เสียหายเขาไปป่าวประกาศว่าบริษัทคุณไม่เคลมประกัน บริษัทคุณก็จะเดือดร้อน คือเราต้องให้เหตุผลกับทั้ง 2 ฝ่าย บริษัทประกันเขาก็ยอม ถือว่าให้จบๆ ไป เพราะเจรจามา 8 เดือนแล้ว ก็เลยไปบอกผู้เสียหาย บอกให้รับไปเถอะ สุดท้ายเรื่องก็จบลงด้วยดี พบกันครึ่งทาง เรื่องก็เลยจบที่หมื่นสอง” คุณสมศรี กล่าว

เสีย ‘เล็ก’ รักษา ‘ใหญ่’

กรุงเทพมหานคร..เมืองหลวงที่มีพื้นที่เล็กกว่าประเทศไทยทั้งหมดถึง 328 เท่า แต่กลับมีประชากรอาศัยอยู่ถึง 13 ล้านคน หรือ 1 ใน 5 ของประชากรไทยทั้งหมด 65 ล้านคน ทว่าแม้จะมีประชากรรวมตัวเป็นชุมชนในรูปแบบใหม่ๆ มากมาย ทั้งหมู่บ้านจัดสรร ทาวน์เฮ้าส์ อาคารชุด (แฟลตหรือคอนโดมิเนียม) แต่ชุมชนเหล่านี้ผู้คนกลับไม่ค่อยจะรู้จักกัน แม้บ้านจะอยู่ติดกันก็ตาม ทำให้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็อาจลุกลามได้ง่ายกว่าชุมชนดั้งเดิม ที่อยู่อาศัยมาเป็นระยะเวลานานหลายชั่วอายุคน

วิทยา แจ่มกระจ่าง ประธานสมาพันธ์ชมรมคุ้มครองผู้บริโภค กทม. ที่อีกบทบาทหนึ่งคืออาสาสมัครไกล่เกลี่ย เล่าว่า ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง มีบ้านสองหลังที่ใช้รั้วด้านข้างร่วมกัน หลังหนึ่งเป็นของนักธุรกิจ อีกหลังหนึ่งเป็นของข้าราชการบำนาญ ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีฐานะดีทั้งคู่

เหตุการณ์ที่กลายเป็นข้อพิพาท คือการต่อเติมหลังคาบ้านของทั้งคู่ จนเกือบจะชนรั้วที่กั้นระหว่างบ้านทั้ง 2 หลัง ปัญหาคือบ้านของนักธุรกิจติดตั้งรางน้ำ แต่บ้านของข้าราชการบำนาญไม่ได้ติดตั้ง ทำให้เมื่อฝนตก น้ำจากหลังคาบ้านข้าราชการบำนาญ ไหลข้ามรั้วไปยังบ้านของนักธุรกิจ จนกลายเป็นเรื่องเป็นราว หวิดจะเป็นคดีขึ้นโรงขึ้นศาลกัน

“หลังนึงปลูก 5 ล้าน เป็นอดีตข้าราชการเพิ่งเกษียณใหม่ๆ อีกหลังปลูก 6 ล้าน เป็นคหบดี อาชีพค้าขาย มีสตางค์ทั้งคู่ ก็ต่อเติมกันเต็มพื้นที่ หลังคาชิดรั้วกันทั้งคู่ แต่บ้านข้าราชการไม่ยอมใส่รางน้ำ เจ้าหน้าที่เขตมาเขาก็บอกว่าเดี๋ยว ก็เดี๋ยวมาเป็นปี เขตจะให้ สก. (สมาชิกสภา กทม.) ไปเจรจา ก็ไม่ได้ เพราะ สก. จะเข้าข้างใครไม่ได้ เขาก็กลัวเสียคะแนนเสียงของเขา ก็เลยบอกให้ผมช่วยไปเจรจาให้หน่อย”

กรณีของคุณวิทยา ดูเหมือนจะยากกว่าพอสมควร เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างมีฐานะดี และค่อนข้างถือตัวกันทั้งคู่ นอกจากนี้ หากปล่อยให้คดีความถึงโรงถึงศาล ปัญหาจะไม่ได้จบแค่ผลแพ้ชนะของคนสองคนเท่านั้น เพราะในความเป็นจริง บ้านแทบทุกหลังในชุมชนดังกล่าว ล้วนแต่ต่อเติมในลักษณะเดียวกัน ซึ่งเป็นการต่อเติมแบบผิดกฎหมายทั้งสิ้น ดังนั้นหากศาลมีคำสั่งให้รื้อ คงต้องรื้อกันทั้งหมู่บ้าน อันจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้ารื้อทั้ง 2 หลังก็ไม่เท่าไร แต่นี่ต้องรื้อทั้งหมู่บ้าน เพราะต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตทั้งนั้นเลย นี่คือปัญหาใหญ่ของชุมชน พอจะไปคุยกับอดีตข้าราชการ เขาไม่คุย ปิดประตูใส่เลย ผมเลยไปถามคหบดี ถามว่าต่อเติมเท่าไร? เขาบอก 4 แสน บ้านข้างๆ ก็คงไล่เลี่ยกัน ซึ่งเขายินดีรื้อ ผมบอกว่า..ท่านครับ ถ้าศาลสั่งรื้อก็ต้องรื้อ แต่อย่าลืมนะครับ หมู่บ้านท่าน 300 หลังคาเรือน ต่อเติมกันเป็นส่วนใหญ่ ถ้ารื้อก็ต้องรื้อกันหมด ความเดือดร้อนไม่ใช่แค่ 2 หลังนะ แต่มันอยู่ทั้งชุมชนเลย

ผมก็เลยบอกว่า เอาแบบนี้นะ ท่านต่อเติมมา 3-4 แสนได้ ผมขอท่านอีก 3-4 หมื่น ต่อรั้ว แต่อย่าไปต่อบนกำแพง (รั้วที่ใช้ร่วมกัน) นะ ท่านทำรั้วซ้อนขึ้นมาเลย จะก่อให้สวยงามยังไงก็ได้ เขาก็ยอมสร้างรั้วขึ้นมา เลยหลังคาที่มีปัญหานิดเดียวไม่ถึงศอก ท่านว่าน้ำเข้าบ้านใครครับ? น้ำก็เข้าบ้านคนที่ทำน้ำฝนไหลลงมานั่นแหละครับ ฝนตกกี่ครั้งน้ำก็ไหลเข้าบ้านอดีตข้าราชการคนนั้น 2 อาทิตย์ครับ ใส่รางน้ำอย่างดีเลย”

คุณวิทยา เล่าถึงประสบการณ์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของตน และให้ข้อคิดทิ้งท้าย ว่าบ้านติดกันหรือชุมชนเดียวกัน ควรจะหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยให้เกิดความเข้าใจต่อกัน เพราะเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จะได้ช่วยดูแลกันและกันได้ ทั้งนี้การช่วยเหลือเกื้อกูล สมัครสมานสามัคคีกัน เป็นเอกลักษณ์อันดีงามที่พบเห็นได้ทั่วไปจากชุมชนในต่างจังหวัดหรือชุมชนดั้งเดิมใน กทม. ซึ่งคุณวิทยากล่าวว่า จะทำการรณรงค์ให้ชุมชนในเมืองหลวงแห่งนี้ มีลักษณะดังกล่าวมากขึ้นต่อไป

มีผู้กล่าวไว้นานแล้วว่า..สังคมไทยเป็นสังคมที่อะลุ้มอล่วย ใช้วิธีประนีประนอมในการแก้ไขปัญหา เว้นแต่เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มองว่ารุนแรงมากๆ เท่านั้น จึงจะใช้มาตรการตามกฎหมาย ซึ่งถือเป็นหนทางสุดท้าย สิ่งเหล่านี้แม้ด้านหนึ่งจะถูกมองว่าทำให้คนไทยขาดวินัยเพราะกฎระเบียบหย่อนยาน แตกต่างกับสังคมตะวันตกที่เอะอะก็ฟ้องคดีถึงโรงถึงศาล ทำให้ทุกคนต้องระวังตัวไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลระหว่างกัน

แต่อีกด้านหนึ่ง การเลือกวิธีเจรจาไกล่เกลี่ยก่อน ตามวิถีชุมชนแบบไทยๆ เพื่อหาทางออกร่วมกัน โอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะบาดหมางกันถาวรก็จะลดลง ตรงกันข้ามย่อมเพิ่มโอกาสที่คู่กรณีจะเปลี่ยนจากคู่ขัดแย้งมาเป็นมิตรภาพ และเกิดการร่วมมือกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยอีกด้วย เพราะชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีแค่เรื่องของ “ถูก-ผิด” เป็นเส้นตรง แต่ยังมีเงื่อนไขของ “เหมาะสม-ไม่เหมาะสม” ที่ซับซ้อน ตามความคิดของแต่ละคนแตกต่างกันไป

ดังนั้นการพูดคุยเจรจากัน จึงเป็นหนทางที่นำไปสู่ข้อตกลงร่วม ที่ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องแพ้ แต่เป็นข้อตกลงที่ “ชนะ” ด้วยกันทั้งคู่ ยอมรับกันได้ทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครต้องเสียหน้า และไม่ให้ปัญหาลุกลามจนใหญ่โตบานปลาย

SCOOP@NAEWNA.COM

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

เปิดแผน บริการ ระบบขนส่งสาธารณะ วันอาทิตย์ที่ 26 ต.ค.นี้

มีเรื่องเล่าเมื่อ 20 ปีก่อน! 'ดร.ธรณ์' เปิดความทรงจำที่ภูพิงค์ เข้าเฝ้า'พระพันปีหลวง' หลังเหตุสึนามิ

‘อนุทิน’ถึงมาเลเซียแล้ว เตรียมร่วมพิธีเปิดประชุมสุดยอดอาเซียนพรุ่งนี้

'บอดี้สแลม'ยืนถวายอาลัย 'สมเด็จพระพันปีหลวง'ก่อนแสดง (คลิป)

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved