นางสาวณัฐฑี จุฑาวรากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทคลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัดเปิดเผยว่าปัจจุบันตลาดสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าหรือโกลด์ฟิวเจอร์สซบเซาโดยมีปริมาณซื้อขายลงมาอยู่ที่วันละ 6,000 สัญญาเนื่องจากราคาทองคำในเดือนมิถุนายนที่ค่อนข้างผันผวน โดยลดลงจากปี 2556 ซึ่งอยู่ที่วันละ 9,000 สัญญา และเมื่อเทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมาในช่วงที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นบาทละ 1,900 บาท ปริมาณซื้อขายอยู่ที่วันละ 60,000 สัญญา และปริมาณซื้อขายเฉลี่ยในตลาดทองคำทั้งหมดอยู่ที่วันละ 16,000 สัญญา
“คาดว่าในครึ่งปีหลังปริมาณซื้อขายทองคำโกลด์ฟิวเจอร์ส จะยังทรงตัวในระดับนี้ ซึ่งอาจจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นบ้าง แต่มองว่าจะไม่เพิ่มไปถึงจุดสูงสุด และต้องขึ้นอยู่กับราคาทองคำในช่วงเวลานั้นด้วยว่าจะมีความผันผวนมากน้อยแค่ไหน ” นางสาวณัฐฑี กล่าว
อย่างไรก็ตาม ตลาดซื้อขายทองคำในครึ่งปีแรกยังไม่คึกคักมากนัก จากช่วงก่อนหน้านี้ โดยทองคำรูปพรรณยังคงขายได้ต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อราคาทองลดลงต่ำกว่าบาทละ 20,000 บาท จะมีการซื้อเพื่อเก็บในระยะยาว และซื้อขายเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นด้วย อีกทั้งในไตรมาส 2 ของปีนี้ ตลาดหุ้นค่อนข้างดี มีเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นค่อนข้างดี จึงส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนในตลาดทองคำลดลง และทำให้สัญญาซื้อขายทองคำแท่งในโกลด์ฟิวเจอร์สลดลงเป็นระยะเวลาพอสมควร
ทั้งนี้ มองว่าราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งอาจจะไม่หวือหวา และคาดว่าจะมีการขยับกรอบขึ้นบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นทะลุถึงจุดสูงสุดหรือไปทำจุดใหม่ถึง 2,500 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ได้ สำหรับกรอบราคาทองคำในเดือนกรกฎาคมมองกรอบเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,275 - 1,365 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรืออยู่ที่บาทละ 19,600 - 20,700 บาท
"ไตรมาส 2 ของปีนี้ ราคาทองคำปรับขึ้นมาเยอะพอสมควร ทำให้ภาพรวมระยะยาวเป็นขาขึ้น สามารถกลับมายืนเหนือระดับ 1,300 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ได้ โดยในครึ่งปีหลังมองว่าจะขยับได้สูงกว่าครึ่งปีแรก แต่ไม่ถึงกับทะลุไปทำนิวไฮได้ถึง 2,500 เหรียญสหรัฐ" นางสาวณัฐฑี กล่าว
ด้านบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ประเมินแนวโน้มราคาทองคำในสัปดาห์นี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวจากภาวะชะลอตัว เมื่อตัวเลขการจ้างงานเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า การดิ่งลงของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐในไตรมาสแรกเกิดจากปัจจัยเพียงชั่วคราว การจ้างงานเพิ่มขึ้นในระดับที่สูงกว่า 200,000 ตำแหน่งต่อเดือนในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นถึง 288,000 ตำแหน่งสูงกว่าคาดการณ์ ส่วนอัตราว่างงานดิ่งลงสู่ระดับ 6.1% ซึ่งเป็นดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปี และเป็นระดับที่ต่ำเกินความคาดหมาย
ตัวเลขเหล่านี้เป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาที่รวดเร็วกว่าที่ได้เคยคาดการณ์กันไว้ กระแสดังกล่าวกดดันแนวโน้มเชิงบวกของราคาทองคำ
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนจับตาการเคลื่อนย้ายของเม็ดเงินลงทุน และ ทิศทางราคาทองคำอย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดการเคลื่อนย้ายเพื่อปรับสถานะการลงทุนรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสหรัฐที่กำลังฟื้นตัวหรือไม่ ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน และตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งทะลุระดับ 17,000 ได้เป็นครั้งแรก ซึ่งดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 ปิดที่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน
ตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้มักจะชี้นำราคาทองคำค่อนข้างมาก เบื้องต้นยังคงให้จับตาราคาทองคำบริเวณ 1,332-1,342 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคายังไม่สามารถปรับตัวขึ้นยืนเหนือโซนนี้ คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะค่อยๆอ่อนตัวลงมา โดยประเมินแนวรับไว้ในบริเวณ 1,310-1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และหากแนวรับนี้ไม่สามารถรับได้ นักลงทุนต้องระมัดระวังการอ่อนตัวของราคาทองคำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี