นางภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส ประเทศไทย และเวียดนาม เปิดเผยว่า ในปี 2558 บริษัทมองว่าธุรกิจขายตรงจะดีกว่าปี 2557 ที่ผ่าน เนื่องจากปี 2557 เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลต่อความเชื่อมั่นการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ในปี 2558 นี้การแข่งขันก็รุนแรงมากขึ้น ซึ่งปกติธุกิจขายตรงจะขยายตัวเฉลี่ยปีละประมาณ 5-7% ดังนั้นปี 2558 มองว่าภาพรวมธุรกิจขายตรงในไทยจะขยายตัวได้เพียงประมาณ 2-3% จากมูลค่าตลาดปี 2557 อยู่ที่ประมาณ 70,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบริษัทเองนั้น ตั้งเป้าหมายว่าในปี 2558 รายได้จะขยายตัวได้ประมาณ 20% จากปี 2557 ที่มียอดรายได้ 2,500 ล้านบาท ขยายตัวจากปี 2556 ถึง 23%
ทั้งนี้เพื่อผลักดันเป้าหมายให้เป็นไปตามที่ตั้งไว้ และเพื่อตอบรับการแข่งขันที่สูงขึ้น บริษัทเตรียมปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะใช้งบการตลาดรวม 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่ใช้ไป 120 ล้านบาท ทั้งจากการขยายฐานนักธุรกิจ การขายสินค้าออนไลน์เพิ่ม การก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าที่นครปฐม บนพื้นที่กว่า 300 ตารางเมตร ใช้งบประมาณกว่า 10 ล้านบาท และในช่วงปลายปี 2558 เตรียมออกสินค้านวัตกรรมตัวใหม่อีก 2 รายการ ซึ่งจะเป็นสินค้าในกลุ่มเอจล็อคหรือผลิตภัณฑ์ต่อต้านความชรา
สำหรับในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) มองว่าจะเป็นโอกาสที่ดีของการทำธุรกิจ เพราะจะทำให้ฐานผู้บริโภคเปิดกว้างขึ้น โดยปัจจุบันนู สกิน มีตัวแทนจำหน่ายสินค้าในอาเซียนแล้วใน 7 ประเทศ ทั้งไทย เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน ซึ่งหากมีการเปิดเป็นเออีซีอย่างเป็นทางการ ก็จะทำให้การจำหน่ายสินค้ามีความสะดวกรวดเร็วขึ้นกว่าปัจจุบันค่อนข้างมาก
นางวิภาดา ตั้งปกรณ์ รองประธานฝ่ายขายและปฏิบัติการ บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2558 นู สกิน ยังจะให้ความสำคัญกับกลุ่มเอจล็อค ตามภาพลักษ์ของนูสกินที่ให้ความสำคัญเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนู สกิน ได้ลงทุนไปกว่า 3,000 ล้านบาท ในการก่อตั้งศูนย์นู สกิน อินโนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ที่เมืองโพรโว มลรัฐยูท่าห์ สหรัฐอเมริกา เพื่อคิดค้นนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจคุณภาพชีวิต และล่าสุดนู สกิน ได้พัฒนาต่อยอดนำเครื่องไบโอโฟโตนิค สแกนเนอร์ s3 ที่เป็นเครื่องตรวจวัดระดับแคโรทีนอยด์และวัดระดับสารต้านอนุมูลอิสระในร่างการมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยผู้แทนจำหน่ายในการทำธุรกิจด้วย เพื่อเป็นการให้บริการที่ดีกับผู้บริโภค
อย่างไรก็ตามในปี 2557 นู สกิน ประเทศไทย มีรายได้เติบโต 23% มียอดสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น 20% มีจำนวนผู้ทำธุรกิจเติบโต 52% โดยมีผู้ทำธุรกิจ 230,000 ราย ซึ่งแอคทีฟ 15% ซึ่งมีผู้บริหารทำเนียบเงินล้านเพิ่มขึ้น 51% ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายมาจากกลุ่มเอจล็อค 70% ที่เหลืออีก 30% เป็นกลุ่มสินค้าอื่นๆ โดยที่กลุ่มเอจล็อคมีสัดส่วนยอดขายมาจากผลิตภัณฑ์ดูแลผิว 70% และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 30% ทั้งนี้ หากมองเป็นพื้นที่พบว่าสัดส่วนยอดขายมาจากกรุงเทพฯ 55% และต่างจังหวัด 45% เปลี่ยนแปลงจากปี 2556 ที่มาจากกรุงเทพฯ 60% และต่างจังหวัด 40% ซึ่งถือว่าการขยายตัวในต่างจังหวัดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี