อีสท์วอเตอร์ กรมชลประทาน และการประปาส่วนภูมิภาค ลงนาม MOU การสูบผันน้ำเชื่อมโยงอ่างเก็บน้ำประแสร์-อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ แก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก และเพิ่มเสถียรภาพแหล่งน้ำของ จ.ระยอง มั่นใจจะทำให้การบริหารจัดการน้ำเกิดประโยชน์สูงสุด ยืนยันไม่กระทบภาคการเกษตร พร้อมเตรียมเพิ่มความจุอ่างฯ ประแสร์เป็น 295 ล้าน ลบ.ม.
กรมชลประทานได้จัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) การดำเนินการสูบผันน้ำท่อส่งน้ำเชื่อมโยงอ่างเก็บน้ำประแสร์-อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ร่วมกับการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์วอเตอร์ โดยโครงการดังกล่าวถือเป็น 1 ใน 13 โครงการที่คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2548 เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกอย่างเร่งด่วน และยังทำให้พื้นที่จังหวัดระยองมีเสถียรภาพด้านแหล่งน้ำมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ต้องมีการบริหารจัดการปริมาณน้ำที่สูบผันจากโครงการดังกล่าวไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สำหรับการผันน้ำจากอ่างฯประแสร์ มายังอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ จ.ระยอง นั้น จะใช้ทั้งระบบท่อส่งน้ำและลำน้ำธรรมชาติ จากการก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2552 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,677 ล้านบาท และกรมชลประทานได้รับมอบโครงการเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2553 แต่ก็ยังไม่สามารถตกลงในเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้นจากการผันน้ำได้ จนนำมาสู่การจัดทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวในที่สุด
"การผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ มายังอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ดังกล่าว จะไม่กระทบต่อเกษตรกรผู้ใช้น้ำชลประทานจากอ่างฯประแสร์ เนื่องจากเป็นการผันน้ำส่วนเกินความต้องการซึ่งปกติในแต่ละปีภาคการเกษตรจะใช้น้ำประมาณ 100 ล้านลูกบาศก์เมตร อุปโภคและรักษาระบบนิเวศอีก 20 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อรวมกับปริมาณน้ำที่จะผันมาอ่างฯคลองใหญ่ประมาณปีละ 80 ล้านลูกบาศก์เมตรแล้ว ก็ยังน้อยกว่าปริมาณความจุของอ่างฯประแสร์ที่สามารถจุได้ถึง 248 ล้านลูกบาศก์เมตร และยังมีโครงการที่จะเพิ่มปริมาณความจุในระดับกักเก็บสูงสุดเป็น 295 ล้านลูกบาศก์เมตรภายในปี 2558 นี้อีกด้วย" อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวในตอนท้าย
ทั้งนี้ สาระสำคัญของบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ กำหนดให้การประปาส่วนภูมิภาคและบริษัทอีสวอเตอร์ จัดทำแผนการใช้น้ำที่สูบผันด้วยระบบท่อส่งน้ำมาจากอ่างเก็บน้ำประแสร์มายังอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ และมอบหมายให้อีสท์วอเตอร์ เป็นผู้ดำเนินการสูบผันน้ำทั้งระบบ โดยในปีที่ 1 สามารถนำน้ำไปใช้ได้หน่วยงานละไม่เกินปีละ 20 ล้านลูกบาศก์เมตร และปีที่ 2 ถึงปีที่ 5 หน่วยงานละไม่เกินปีละ 40 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยกรมชลประทานจะจัดทำแผนการสูบผันน้ำให้ทั้ง 2 หน่วยงานดำเนินการสูบน้ำตามแผน พร้อมทั้งรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการระบบท่อส่งน้ำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าจัดหาบุคคลเข้าทำการบริหารงาน ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบท่อส่งน้ำ และค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมระบบท่อส่งน้ำที่ชำรุดเสียหายอันเกิดจากการใช้งานตามปกติ
นอกจากนี้ การประปาส่วนภูมิภาคและบริษัทอีสวอเตอร์ จะต้องรับผิดชอบค่ากระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้น ที่โรงสูบน้ำอ่างเก็บน้ำประแสร์ ตามสัดส่วนปริมาณน้ำที่วางแผนการใช้รายเดือน ตลอดจนจะต้องชำระค่าชลประทาน ตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช 2485 และที่สำคัญจะต้องร่วมกันจัดให้มีกิจกรรมหรืองบประมาณด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม (Corporate Social Responsibility : CSR) อีกด้วย
นอกจากนี้ทั้ง 2 หน่วยงานจะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยในบริเวณสถานีสูบผันน้ำ ดูแลบำรุงรักษา ซ่อมแซม ปรับปรุงระบบท่อส่งน้ำให้มีประสิทธิภาพและอยู่ในสถานะพร้อมใช้งานตลอดเวลา พร้อมจัดทำระบบป้องกันน้ำรั่วไหลไปทำความเสียหายเดือดร้อนแก่บุคคลภายนอกซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง และต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการสูบผันน้ำทั้งทรัพย์สินของทางราชการ ตลอดจนชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลภายนอกอีกด้วย โดยบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีระยะเวลาบังคับใช้ 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2558 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2563
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี