เอาแล้วไง...เมื่อ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี สหรัฐฯ...ประกาศปรับขึ้น การขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก และอะลูมิเนียม จาก 25% ไปเป็น 50% เริ่มมีผลบังคับใช้ 4 มิถุนายน 2568 นี้ (5 มิ.ย.2568 ตามเวลาในประเทศไทย)....โดยไม่สนว่าผู้ประกอบการในหลายอุตสาหกรรมในประเทศจะเดือดแค่ไหน
ว่ากันตามจริงผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมเหล็กไทยต่อการขึ้นภาษีของสหรัฐฯนั้นไม่เท่าไหร่หรอก แต่ที่หนักหนากว่านั้นคือการไหลทะลักของเหล็กจากต่างประเทศเข้ามาสู่ประเทศไทยนี่ล่ะครับปัญหาใหญ่มากเลย...ปัจจุบันอุตสาหกรรมเหล็ก มีปัญหาใหญ่คือ วิกฤตกำลังการผลิตเหล็กที่มีมากเกินไป (Excess Steel Production Capacity) โลกมีความต้องการใช้เหล็กสำเร็จรูป (Finished Steel) ปี 2567 รวม 1,751 ล้านตัน ในขณะที่มีกำลังการผลิตเหล็กมากถึง 2,324 ล้านตัน จึงใช้กำลังการผลิตเพียง 75% มีกำลังการผลิตส่วนเกินอีก 25% หรือเหลือมากถึง 573 ล้านตันต่อปี…ประเทศที่มีกำลังการผลิตล้นเหลือ โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งมีกำลังการผลิตเหล็กราว 1,300 ล้านตันต่อปี ผู้ผลิตเหล็กจีนจึงทุ่มส่งออกสินค้าเหล็กที่ผลิตเกินไปยังตลาดต่างประเทศซึ่งหละหลวมและล่าช้าในการใช้มาตรการทางการค้า (Trade Measures) โดยช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 จีนได้ส่งออกสินค้าเหล็กมากถึง 37.9 ล้านตันแล้ว เพิ่มขึ้นถึง +8.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดใหญ่สุดคืออาเซียน
การไหลทะลักของเหล็กจากจีนและชาติอื่นๆ ไปยังประเทศอื่นๆ มีมานานกว่า 7- 8 ปีแล้ว แต่หลายหลายประเทศได้เร่ง “สร้างรั้วสูง กำแพงหนา” ด้วยการออกมาตรการมากมายเพื่อปกป้องการทุ่มตลาดจากสินค้านำเข้ามายังประเทศของตน แต่ประเทศไทยยังใช้มาตรการปกป้องธุรกิจ และอุตสาหกรรมภายใน ประเทศไม่เข้มแข็งพอ ทำให้มีสินค้าหลายอย่างทุ่มตลาดเข้าประเทศไทยด้วยเล่ห์กลต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะเหล็กจากจีน...ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดที่บอกว่า“กำแพงเราอ่อนด้อยที่สุด”คือขณะที่ชาติอื่นกำลังยกการ์ดสูงเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ แต่ในช่วงดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทยกลับยกเลิกการใช้มาตรการ Safeguard
อีกบทพิสูจน์ว่า การปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทยยังเข้มแข็งน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วยกัน คือ เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนปริมาณสินค้าเหล็กขั้นปลาย (Finished Steel) ที่นำเข้าเทียบกับสินค้าเหล็กที่ผลิตเองในแต่ละประเทศ โดยประเทศไทยมีสัดส่วนการนำเข้าสินค้าเหล็กมากสุดถึง 65% ทำให้ประเทศไทยใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กลดลงเรื่อยมาทุกปี จนเหลือเพียง 28% ในปี 2567 โดยสินค้าเหล็กที่สูญหายไปจากการใช้กำลังการผลิต ภายในประเทศไทยที่ลดลงในช่วง 8 ปีนี้ สะสมรวมกันกว่า 2 แสนล้านบาท หลายโรงงานเหล็กไทยต้องปิดตัวลง หรือถ้าประเมินเป็นการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจากห่วงโซ่การผลิตและการจ้างงานภายในประเทศ ก็ยิ่งเสียหายทวีคูณยิ่งขึ้น
บอกได้เลยหากว่า กระทรวงพาณิชย์ไทย ยังไม่ตระหนักที่จะป้องกันอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ด้วย “ภาษี 50% ของทรัมป์”...จะมีตัวเร่งให้อุตสาหกรรมเหล็กไทยจะมลายหายสิ้นไปในเวลาอันใกล้นี้แน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี