PwC ชี้เอสเอ็มอีไทยส่วนใหญ่ยังขาดสภาพคล่องเหตุเศรษฐกิจชะลอตัว ทำทุนหด รายได้หาย แนะผู้ประกอบการต้องจัดทำงบการเงินให้ได้มาตรฐานเพื่อให้ เห็นถึงความเคลื่อนไหวของกระแสเงินสดที่ชัดเจน วางแผนจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน Bridging the Gap-2015 Annual Global Working Capital Survey ที่ทำการสำรวจงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนชั้นนำ 10,215 บริษัททั่วโลกว่าบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) ทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาการขาดความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน โดยพบว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียนสุทธิของ SMEs ในปี 2557 อยู่ที่ระดับ 20.8% เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่ระดับ 18.5% สะท้อนให้เห็นว่า บริษัทยังไม่สามารถบริหารกระแสเงินสดให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ดีนัก ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น นโยบายในการบริหารงาน เป็นต้น
“กระแสเงินสดมีความจำเป็นมากต่อการดำเนินธุรกิจของ SMEs แต่ด้วยความที่ธุรกิจเหล่านี้ ยังขาดความสามารถในการนำกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมาสร้างผลตอบแทนสูงสุดได้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำและต้นทุนเงินกู้ก็สูงจึงเกิดปัญหาด้านสภาพคล่องมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่” นายศิระกล่าว
ส่วนสถานการณ์ของ SMEs ในไทยขณะนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงเช่นกันเพราะสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศหดตัวตามไปด้วย และมูลค่าการส่งออกก็แทบไม่เติบโตหรืออาจลดลงเช่นเดียวกัน ขณะที่ฐานทุนของ SMEs ไทยนั้นค่อนข้างจำกัดและมีต้นทุนสูงกว่า ทำให้การบริหารเงินทุนหมุนเวียนคล่องตัวน้อยกว่าบริษัทขนาดใหญ่ แม้ว่าภาครัฐจะพยายามออกมาตรการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ อาทิ การปล่อยสินเชื่อแต่มองว่า ไม่อาจให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการได้ครอบคลุมทั้งประเทศ
หากพิจารณาสถานการณ์ของ SMEs ประเทศไทยในปีนี้ ถือว่าแนวโน้มชะลอตัว ตัวเลขดัชนีหลายๆ ตัวส่งสัญญาณไม่ดีนัก จากข้อมูลจากรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเดือนพฤษภาคม 2558 ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) ระบุว่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคการค้าและบริการของผู้ประกอบการ SMEs อยู่ที่ 39.9 ลดลงจาก45.2 ในเดือนก่อน ส่วนดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(มูลค่าเพิ่ม) อยู่ที่ 80.2 ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขณะที่มูลค่าการส่งออกของผู้ประกอบการ SMEs ไทยอยู่ที่ 169,496ล้านบาท ลดลง 1.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้การจัดตั้งกิจการใหม่ของ SMEs อยู่ที่ 4,523 รายลดลง 1.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่การยกเลิกกิจการกลับ
มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 17.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหรือมีการบอกเลิกกิจการทั้งสิ้นจำนวน 977 ราย โดยมองว่าสถานการณ์โดยรวมของ SMEs ในช่วงที่เหลือของปีนี้ไม่น่าจะแตกต่างจากช่วงครึ่งปีแรกมากนัก
นายศิระกล่าวที่ผ่านมา SMEs ไทยส่วนใหญ่ยังขาดแบบแผนการบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพและการจัดทำงบการเงินที่ได้มาตรฐานซึ่งตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน เนื่องจากงบการเงินจะช่วยให้ผู้ประกอบการเห็นรายรับ รายจ่าย รู้ความเคลื่อนไหวของกระแสเงินสดของกิจการได้ชัดเจนมากขึ้นจึงทำให้สามารถวางแผนบริหารกระแสเงินสดและเงินทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นรากฐานช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี