29 มี.ค.59 เวลา 10.00 น. บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (สตาร์ทิจิก พาร์ทเนอร์) กลุ่มธุรกิจโทรศัพท์มือถือบนคลื่นความถี่ 2100 เมกะเฮิรตซ์ หลังจากที่คณะกรรมการ (บอร์ด) ทีโอทีได้ประชุมลงมติให้ทีโอทีลงนามในสัญญาดังกล่าวร่วมกับเอกชนได้
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า การกำกับดูแลหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่งคือ ทีโอที และ กสทฯ นั้น ได้กำชับให้ฝ่ายบริหารเข้ามารายงานความคืบหน้าในโครงการสำคัญๆทุกสัปดาห์ เพื่อจะได้เร่งพลิกฟื้นองค์กรได้ ส่วนทีโอทีหลังจากที่รับทราบว่าบอร์ดได้ลงนามเอ็มโอยู เพื่อร่วมเป็นพันธมิตรกับเอไอเอสนั้น เข้าใจว่า ในรายละเอียดตัวสัญญาบอร์ดคงพิจารณาอย่างดีแล้ว
ซึ่งความร่วมมือกับเอกชน รัฐได้ผลประโยชน์แน่นอน อย่างไรก็ตาม ตัวสัญญาหลักก็อยากเร่งให้เกิดโดยเร็ว เพราะที่ผ่านสำนักงานอัยการสูงสุดก็ได้ตรวจสอบสัญญาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทำให้มั่นใจว่า ความร่วมมือกับเอไอเอสจะเป็นผลดีต่อทีโอที และเป็นโอกาสในการทำธุรกิจให้มากขึ้น เพราะทีโอทีมีจุดแข็งด้านโครงข่าย มีลาสไมล์เข้าถึงทุกพื้นที่
โดยแหล่งข่าวจากบอร์ดทีโอทีเผยว่า การประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 28 มี.ค.59 ที่ผ่านมา คณะกรรมการมีมติให้ทีโอทีลงนามความร่วมมือ โดยเอ็มโอยูดังกล่าวเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการทำรายละเอียดของสัญญาจ้างตัวจริงเท่านั้น เอไอเอสยังไม่สามารถนำคลื่นไปใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้ หรือแม้กระทั่งการทดสอบใดๆ ก็ตามจนกว่าจะมีการเซ็นสัญญาจ้างตัวจริงก่อน ซึ่งยังตอบไม่ได้ว่าจะใช้เวลานานแค่เพียงใดถึงจะแล้วเสร็จ
ทั้งนี้ กระบวนการที่ผ่านมาเป็นเพียงนำร่างเอ็มโอยูไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบเท่านั้น เมื่อสัญญาจริงเสร็จก็ต้องส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบอีกครั้ง จากนั้นส่งต่อไปที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)
ส่วนประเด็นที่ว่าสัญญาดังกล่าวจะเข้าข่าย พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐพ.ศ. 2556 (พ.ร.บ.ร่วมทุน) ต้องยอมรับว่าที่ผ่านตนเองยังไม่เห็นหนังสือจากสคร.ว่าเข้าข่ายหรือไม่ คงต้องรอให้สคร.ตอบมาอย่างเป็นทางการก่อน เนื่องจากเข้าใจว่าสิ่งที่สคร.พูดในข่าวนั้นเป็นการพูดถึงกรณีของ การทำสัญญาของบมจ.กสท โทรคมนาคม และ บริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) จำกัด ว่าไม่เข้าข่ายพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ นายมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที เคยระบุว่า การเลือกเอไอเอสเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์มือถือ 3จีคลื่น 2100 เมกะเฮิรตซ์จำนวน 15 เมกะเฮิรตซ์เป็นระยะเวลา 10 ปี จะทำให้ทีโอทีพลิกฟื้นมีกำไรขึ้นมาได้ คือการได้เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับเอไอเอส ได้ภายไตรมาสแรกของปีนี้ คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้สุทธิให้ทีโอทีกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ใน 5 ปีแรกจากอายุสัญญา 10 ปี ที่คาดว่าจะได้รับรายได้ตลอดอายุสัญญาจำนวนกว่า 1 แสนล้านบาท
โดยรายได้ที่คาดว่าจะได้ขั้นต่ำประมาณ 3,500 ล้านบาทต่อปี แลกกับความจุของโครงข่าย 80% ที่เอไอเอสจะได้ไปทำตลาด ที่เหลือของความจุของโครงข่ายอีก 20% ทีโอทีจะได้สิทธิในการให้บริการ ต้องรอต่อไปอีก รวมถึงเรื่องที่ทั้ง 2 บริษัทต้องร่วมกันสร้างสถานีฐานเพิ่มขึ้นในระยะแรกอีก 10 ,000 สถานีฐาน จากเดิมที่ทีโอทีมีอยู่ 5,320 สถานีฐาน ก็ยังทำไม่ได้ เพราะในเอ็มโอยูระบุว่าจะทดสอบไม่ได้จนกว่าจะเซ็นสัญญาจริงเสร็จ
ขอบคุณภาพ : www.hfocus.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี