นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ การประเมินสถานะทางธุรกิจไทย โอกาส และความเสี่ยง จากกลุ่มผู้ประกอบการจำนวน 600 ตัวอย่างทั่วประเทศในกลุ่มธุรกิจเกษตร การค้า การผลิตและธุรกิจบริการ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ ในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 ยังคงไม่ดีนัก โดยดัชนีมีค่าต่ำกว่า 100 แต่ในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจมีการปรับตัวดีขึ้น โดยในช่วงไตรมาสที่ 3 คาดว่าจะอยู่ที่ 101.9 และไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 103.8 ปรับตัวสูงเกิน 100 สะท้อนว่าภาคธุรกิจ รับรู้ว่าเศรษฐกิจดีขึ้น และจะปรับตัวเด่นชัดในช่วงครึ่งหลัง ส่งผลให้ทั้งปี 2559 คาดว่า ดัชนีจะอยู่ที่ 98.3
ขณะที่ ในปี 2560 ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากสถานการณ์ต่างๆส่งผลต่อค่าดัชนีให้ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ระดับ 119.5 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จากการลงทุนของรัฐบาล และมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ผลการสำรวจสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนที่มีผลต่อภาคธุรกิจ พบว่า ผู้ประกอบการ 40.8% เห็นว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเร็วในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อธุรกิจ อยู่ในระดับปานกลาง อีก 29.1% เห็นว่าส่งผลกระทบมาก เนื่องจากจะมีผลกระทบ ทำให้การส่งออกลดลงต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงสูงขึ้น ทำให้ต้องชะลอการผลิต โดยเห็นว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่อยู่ในระดับที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 35.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
ขณะเดียวกันนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง กล่าวในงานสัมมนาวิชาการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประจำปี 2559 กระทรวงการคลังได้ผ่อนผันการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2560 ที่จะเริ่มใช้วันที่ 1ต.ค. 2559 นอกจากนี้ สำนักงบประมาณอยู่ระหว่างการพิจารณาโครงการเบิกจ่ายที่มูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท ให้ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ หรือไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2560 เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจปลายปีเพิ่มขึ้น
ด้านนายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เผยว่า เตรียมปรับเป้าจีดีพีปีนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมคาดโต 3% เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจจากสภาพัฒน์ออกมาดีกว่าคาดการณ์ ส่วนตัวเลขการส่งออกจากเดิมประเมินไว้ติดลบ 2% ในปีนี้ก็มีโอกาสที่จะปรับประมาณการใหม่ อย่างไรก็ตาม ขอติดตามตัวเลขการส่งออกในเดือนสิงหาคมก่อน
ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ตรวจเยี่ยมสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งได้มีการประชุมหัวหน้าสำนักงาน 14 แห่งทั่วโลก เพื่อกำหนดทิศทางดึงเม็ดเงินลงทุนจากภูมิภาคต่างๆ ภายหลังการหารือนายสมคิด กล่าวว่า ได้แจ้งให้หัวหน้าสำนักงานทราบว่ากระแสการลงทุนในไทยปรับตัวไปในทิศทางที่ดีมากจากปัจจัย 2 ด้าน คือ การเมืองหลังจากการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญผ่านเรียบร้อย ทำให้ความไม่มั่นใจด้านต่างๆ คลี่คลาย รวมทั้งความสนใจของนักลงทุนทั่วโลกที่กำลังจะเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชียโดยเฉพาะอาเซียนและไทย
“ได้แจ้งเลขาฯ บีโอไอ ให้สั่งการไปยังหัวหน้าสำนักงานบีโอไอทั้ง 14 แห่งว่าในช่วงการลงทุนไหลเข้าไทยให้เตรียมความพร้อมของบุคลากรแต่ละสำนักงาน โดยรัฐบาลพร้อมเพิ่มกำลังบุคลากรแต่ละประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญเจาะตลาดแต่ละพื้นที่เป็นการเร่งด่วน เพื่อให้ทันต่อการขยายการลงทุน และเมื่อได้ข้อสรุปแจ้งมายังรัฐบาล ซึ่งตนในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพร้อมไปเยือนประเทศต่างๆ เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนสู่ประเทศไทย”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี