รายงานข่าวเปิดเผยว่าหลังกลุ่มลูกหนี้ผู้เสียหายจากสัญญาปล่อยเงินกู้รวมตัวกันยื่นเรื่องร้องเรียนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และศูนย์ดำรงธรรม เพื่อให้เข้ามาสอบสวนเอาผิดกับผู้ประกอบการปล่อยเงินกู้ ลิสซิ่ง จำนำทะเบียนรถทั้งหลายที่มีการทำสัญญาหลบเลี่ยงกฎหมายและเอาเปรียบลูกหนี้เงินกู้เกือบทั้งระบบนั้น จากการเปิดเผยของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายล่าสุดพบว่า มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2131/2560 ที่วางบรรทัดฐานบังคับแก่เจ้าหนี้-ลูกหนี้ที่มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยไม่เป็นไปตามกฎหมายกำหนด
โดยศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีที่เจ้าหนี้ (โจทก์) คิดดอกเบี้ยจากลูกหนี้ (จำเลย) ร้อยละ 1.3 ต่อเดือน หรืออัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15.6 ต่อปี ซึ่งเป็นการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ปพพ.) มาตรา 654 มีผลให้ดอกเบี้ยดังกล่าวตกเป็นโมฆะ เมื่อดอกเบี้ยของโจทก์เป็นโมฆะ เท่ากับสัญญากู้ยืมมิได้มีการตกลงเรื่องดอกเบี้ยกันไว้ โจทก์ไม่มีสิทธิ์ได้ดอกเบี้ยก่อนผิดนัด และไม่อาจจะนำเงินที่จำเลยชำระแก่โจทก์มาแล้วไปหักออกจากดอกเบี้ยที่โจทก์ไม่มีสิทธิ์คิดได้ จึงต้องนำเงินที่จำเลยชำระไปชำระเงินต้นทั้งหมด
ทั้งนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้น ถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่ใช้บังคับต่อเจ้าหนี้-ลูกหนี้ในการจัดทำสัญญาเงินกู้และเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า แม้การคิดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดไปเพียง 0.6% ศาลถือว่าเป็นการกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ขัดกฎหมายจึงพิพากษาให้ตกเป็นโมฆะทั้งหมด และในส่วนของ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพ.ศ.2560 ใหม่ได้บัญญัติบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎหมายรุนแรงขึ้นโดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งยังบัญญัติถึงการกระทำที่ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายฉบับนี้เอาไว้อย่างละเอียดใน (1)-(3) ด้วยแล้ว ถือเป็นบทลงโทษที่รุนแรงกว่ากฎหมายเดิมชัดเจน
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบสัญญาเงินกู้ของบริษัทลิสซิ่งรายใหญ่ พบว่า สัญญาเงินกู้จำนำทะเบียนรถที่บริษัทอ้างว่าดำเนินการถูกกฎหมาย โดยคิดดอกเบี้ย 15% และค่าบริการ 8% และสัญญาของผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ รวมทั้งของธุรกิจเงินกู้ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ต่างก็ทำสัญญาเงินกู้ที่กำหนดให้ลูกหนี้ต้องนำรถยนต์หรือจักรยานยนต์มาเป็นหลักทรัพย์ประกัน ซึ่งหากอิงตามฎีกา 2131/2560 ย่อมเกินกว่ากฎหมายกำหนดแน่นอน เพราะสัญญาเงินกู้ในลักษณะดังกล่าวไม่ใช่ลักษณะสัญญาเช่าซื้อตามกฎหมายเช่าซื้อ หรือสินเชื่อส่วนบุคคลตามที่อ้างกัน แต่ถือเป็นสัญญาเงินกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ต้องอยู่ในบังคับพ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ซึ่งกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ไม่เกิน 15% เท่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี