คมนาคม-อุตสาหกรรม จับมือเร่งผลักดันพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางเล็งเสนอ ครม.พิจารณาเงื่อนไข TOR กำหนดให้วัสดุและผลิต ในประเทศของโครงการระบบรางให้ทันภายในรัฐบาลชุดนี้้
5 ม.ค.62 นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ที่ได้มีการมอบหมายให้ทางกระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ร่วมกันผลักดันส่งเสริมเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางและอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง จึงได้มีการประชุมร่วมกันเพื่อสรุปแนวทางดำเนินงานโดยตั้งเป้าหมายว่าจะเสนอแผนแม่บทและเงื่อนไขเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณา ภายในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งแผนแม่บทดังกล่าวนั้นจะบังคับใช้ครอบคลุมโครงการรถไฟฟ้าในเมือง โครงการรถไฟฟ้าทางคู่ และโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงรวมถึงโครงการระบบรางทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐที่จะเกิดในอนาคตแบ่งเป็น 4 ระยะได้แก่ ระยะที่ 1 ภายในปี 2563 การจัดซื้อจัดจ้างและเปิดประมูลโครงการระบบรางทั้งหมดจะกำหนดให้มีการซื้อตู้รถไฟและตู้รถไฟฟ้าจากผู้ผลิตภายในประเทศ หรือผู้ผลิตที่มีแผนจะลงทุนผลิตในประเทศเท่านั้นโดยระบุเป็นเงื่อนไขไว้ในร่างขอบเขตเงื่อนไขการประกวดราคา(TOR)
ทั้งนี้ระยะที่ 2 ภายในปี 2565 กำหนดให้การส่งมอบตู้รถไฟและตู้รถไฟฟ้าในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐทั้งหมดจะต้องประกอบชิ้นสุดท้ายในโรงงานภายในประเทศ ระยะที่ 3 ภายในปี 2567 กำหนดให้การส่งมอบตู้รถไฟและตู้รถไฟฟ้าในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐทั้งหมดจะต้องใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ โดยราคาของมูลค่าชิ้นส่วน (Local Content) จะต้องไม่น้อยกว่า 40% และ 4.ภายในปี 2568 เป็นต้นไป กำหนดให้การส่งมอบตู้รถไฟและตู้รถไฟฟ้า การซ่อมบำรุง รวมถึงระบบอาณัติสัญญาณ ในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐทั้งหมด จะต้องผลิตภายในประเทศทั้งหมด และต้องมีการผลิตชิ้นส่วนหลัก ที่เป็นสาระสำคัญ อาทิ ตัวรถ ตู้โดยสาร ห้องควบคุม ระบบช่วงล่าง โบกี้ ระบบห้ามล้อ ระบบเชื่อมต่อ ระบบไฟฟ้า เป็นต้น อย่างไรก็ตามด้านการส่งเสริมการลงทุนของ BOI นั้นจะให้สิทธิพิเศษด้านการยกเว้นภาษีการจัดตั้งโรงงานและสิทธิพิเศษด้านอื่นๆให้กับผู้ประกอบการที่สนใจเข้ามาก่อตั้งโรงงานใน 3 พื้นทีได้แก่ พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก( EEC) นครราชสีมาและขอนแก่นจึงมองว่าจะเห็นโรงงานผลิตแห่งแรกในปี 2565
ด้านนายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพัฒนาระบบราง สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) เปิดเผยว่าข้อมูลจากทางกระทรวงอุตสาหกรรมระบุว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีปริมาณของตู้รถไฟและรถไฟฟ้า มากกว่า 1,000 ตู้ โดยในปัจจุบันมีตู้รถไฟและตู้รถไฟฟ้าอยู่แล้วได้แก่ รถไฟฟ้า(BTS ,รฟม.,แอร์พอร์ท เรล ลิ้งก์)จำนวน 413 ตู้ รถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)จำนวน 3,308 ตู้แบ่งเป็นรถไฟตู้โดยสารจำนวน 1,183 ตู้ รถไฟชุดจำนวน 228 ตู้ และแคร่จำนวน 1,897 ตู้
ทั้งนี้ในปี 2563 ได้มีการกำหนดให้เอกชนที่จะเข้าร่วมลงทุนในโครงการนั้นต้องมีแผนผลิตตู้ขบวนรถในประเทศจึงจะสามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI)ได้ ส่วนในปี 2565 ต้องมีการจัดตั้งโรงงานผลิต ประกอบตัวรถ และส่งมอบในประเทศแต่ในการประกอบยังไม่จำเป็นต้องเป็นของในประเทศทั้งหมด รวมถึงได้มีการอ้างอิงข้อมูลการศึกษาจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น(JICA) ที่มีการระบุว่าถ้าหากโรงงานมีกำลังการผลิตเกินกว่า 300 ตู้ต่อปีก็มีความคุ้มค่าแล้วในการจัดตั้งโรงงาน เนื่องจากปัจจุบันโรงงานที่ผลิตตู้รถไฟขายยังไม่มีมีแต่ผลิตชิ้นส่วนเช่น ประแจ ตัวยึดราง สายไฟ หม้อแปลง มือจับ กระจก เป็นต้น ที่มีโรงงานผลิตอยู่ที่ปราจีนบุรี สระบุรี โดยส่งออกไปต่างประเทศเพื่อนำไปประกอบตัวรถ
อย่างไรก็ตามทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการประมาณการณ์โดยคำนวณต่อหน่วย 1,000 ตู้จะเกิดการลงทุนไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาทต่อปีเฉพาะในส่วนของการลงทุน หากรวมการกำหนดการลดการนำเข้าจากต่างประเทศ 40% จะลดการนำเข้าคิดเป็นเงินประมาณ 18,000 ล้านบาทต่อ 1,000 ตู้ เบื้องต้นจะช่วยประหยัดค่าบำรุงรักษาประมาณ 4,300 ล้านบาทต่อปี ค่าจ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ รวมถึงค่าบุคลากรด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี