“อนุทิน” สั่งหน่วยงานทำตัวเลขการเงินรถไฟสายสีส้มตะวันตกให้ชัดเจนก่อนชง ครม. เสนอแนวทางประมูล ยันแนวทางแยกสัญญาก่อสร้าง – เดินรถมีความเหมาะสม กว่า รัฐกู้เงินเองมีต้นทุนทางการเงินต่ำกว่า ย้ำไม่ได้บีบบอร์ดรถไฟลาออก เปิดช่องยืดระยะเวลาลงนามหลัง 7 พ.ย.หากทั้งสองฝ่ายยินยอม
วันที่ 8 ตุลาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (ศูนย์วัฒนธรรม - บางขุนนนท์) ซึ่งได้มีการหารือกันในเรื่องการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (พีพีพี) มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือ พ.ร.บ.ให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ 2562 ซึ่งโครงการนี้ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (บอร์ดพีพีพี) เมื่อรัฐบาลที่ผ่านมา แต่ในขณะนี้มีรัฐบาลใหม่ซึ่งกระทรวงคมนาคมก็มีการพิจารณาและมีแนวคิดใหม่ที่นำเสนอซึ่งควรมีการทบทวนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดำเนินโครงการและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่จะมาใช้บริการ
โดยแนวคิดที่มีการเสนอคือการแยกสัญญาในการลงทุนงานก่อสร้างกับสัญญาการเดินรถ น่าจะเป็นวิธีการที่ดีกว่า อย่างไรก็ตามข้อมูลที่มีการเสนอในที่ประชุมวันนี้ยังมีตัวเลขที่ไม่ตรงกันทางฝ่ายกระทรวงคมนาคมมองว่าการแยกสัญญาการก่อสร้างและการเดินรถดีกว่า ส่วนกระทรวงการคลังให้ข้อมูลว่าในเรื่องนี้มีการเสนอมาแล้วในบอร์ดพีพีพีให้มีการรวมสัญญากันดังนั้นต้องมาดูในเรื่องผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อโครงการที่รัฐจะได้เป็นสำคัญ
ทั้งนี้ในการพิจารณาตัวเลขอัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return : IRR) ที่หน่วยงานต่างๆมีการคิดมาตนได้มีการตั้งข้อสังเกตว่าวิธีการคำนวณยังไม่ตรงกัน จึงให้หน่วยงานต่างๆไปปรับตัวเลขให้ตรงกันให้แล้วเสร็จโดยจะมีการประชุมพร้อมกันในวันพฤหัสบดีที่ 10 ต.ค.นี้ โดยเป็นการหารือกันในส่วนของหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงคมนาคม ซึ่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)ได้มีการนำเสนอตัวเลขต่างๆก่อนหน้านี้โดยมายืนยันตัวเลขนี้และเอาไปเปรียบเทียบกันในทุกสมมุติฐานเพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดเพื่อเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตัดสินใจแนวทางในการเปิดประมูลโครงการต่อไป
นายอนุทิน กล่าวต่อว่าโครงการในลักษณะนี้รัฐต้องเสียเงินในการลงทุนงานโยธาอยู่แล้วแต่ว่าเราจะดูว่าจะให้เกิดการประมูลในลักษณะใด เงินที่รัฐลงไปต้องเกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจให้มากรอบมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยการกู้เงินของภาครัฐมีต้นทุนทางการเงินที่ถูกกว่าภาคเอกชนอยู่แล้ว โดยตัวอย่างคือโครงการการกู้เงินในโครงการสายสีส้มตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรม - มีนบุรี) รัฐกู้เงินได้โดยต้นทุนต่ำดอกเบี้ยเงินกู้ประมาณ 2% หรือไม่เกิน 2% แต่เอกชนต้นทุนการเงินอยู่ที่ 4 - 5% ซึ่งต้นทุนเรื่องการเงินตรงนี้ทำให้มูลค่าการลงทุนรวมของโครงการต่างกันเป็นหลักหมื่นล้านบาท
“ผมไม่ได้จะรื้อโครงการแต่ต้องการให้ได้ข้อสรุปที่ดีที่สุด ส่วนตัวผมมองว่าเราแยกสัญญาดีกว่าเพราะก็ทำกันมาแบบนี้ตลอดก็ไม่มีปัญหาอะไร การแยกสัญญายังเป็นการกระจายความเสี่ยงได้ด้วย ขณะเดียวกันก็มีการกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น เนื่องจากคนที่จะมารับจ้างการทำงานอยู่ในวงกว้าง ซึ่งเหมาะกับเศรษฐกิจแบบนี้ ที่ช่วยให้เกิดการขยายงานก่อสร้างออกไป ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องแนวคิดส่วนตัวของผม แต่ผมไม่ได้ตัดสินใจคนเดียวต้องดูข้อมูลและข้อเสนอจากทุกฝ่ายด้วยว่าข้อมูลที่มีการวิเคราะห์ออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งต้องดูผลตอบแทนที่ภาครัฐจะได้เป็นสำคัญและไม่ใช่เหตุผลที่รัฐต้องมีการควักกระเป๋าจ่ายเงินเพิ่ม ขณะที่ รฟม.ก็มีความเชี่ยวชาญในการควบคุมงานก่อสร้างงานในลักษณะนี้ได้อยู่แล้วการแยกสัญญาจึงไม่มีผลต่อการควบคุมงาน” นายอนุทิน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน นายอนุทินกล่าว่าสาเหตุที่เซ็นสัญญาไม่ได้เนื่องจากคณะกรรมการ (บอร์ด) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ลาออก ซึ่งเป็นการลาออกทั้งที่รู้ว่าจะมีการลงนามในรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งตนให้สัมภาษณ์มาโดยตลอดว่าผู้ที่จะกำหนดวันที่จะลงนามในสัญญาได้แน่นอนคือ รฟท. แต่เมื่อขณะนี้ไม่มีบอร์ด รฟท.เราก็ต้องตั้งบอร์ดก่อน โดยรายชื่อได้มีการส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ (สคร.) แล้ว
“การลาออกของบอร์ดรถไฟ ไม่ได้มีการกดดัน หรือบีบให้ลาออก มีแต่บีบให้อยู่ก่อน ซึ่งบางคนก็ให้เหตุผลว่าต้องภารกิจในด้านอื่นๆ เหมือนที่บอกนั่นแหละว่าพระจะสึก คนจะคลอด บอร์ดจะออก ห้ามกันไม่ได้” นายอนุทิน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่ยังไม่สามารถลงนามในสัญญารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินได้ภายในวันที่ 7 พ.ย.ซึ่งถือว่าเป็นวันที่สิ้นสุดการยืนระยะเวลาประมูล จะถือว่าสามารถยึดเงินประกันของเอกชนในโครงการนี้ที่มีการวางเงินประกัน 2,000 ล้านบาทได้หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่าต้องดูว่าในส่วนนี้ต้องดูว่าข้อกำหนดใน RFP กำหนดไว้ว่าอย่างไรหากภาครัฐมีความไม่พร้อมในการลงนามและสามารถเจรจาในการขอยืดระยะเวลาการลงนามในสัญญาออกไปได้หากทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกัน ส่วนหาก รฟท.มีความพร้อมแล้วเอกชนมีการตกลงวันที่จะเซ็นสัญญากันแล้วแล้วถึงวันไม่มาเซ็นสัญญาก็สามารถที่จะพิจารณายึดเงินประกันได้
“ขณะนี้ยังถือว่าโครงการไม่ล่าช้าเพราะยังกำหนดวันเซ็นสัญญาไว้กับเอกชนก่อนวันที่ 7 พ.ย. หากยังไม่สามารถเซ็นสัญญาได้ก็จะถือว่ามีความล่าช้า ซึ่งหากโครงการนี้ล่าช้าและไม่สามารถดำเนินการได้ตามกำหนดก็จะทำให้โครงการอีอีซีได้รับผลกระทบในเรื่องของความเชื่อมั่นด้วย” นายอนุทิน กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี