นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวถึงวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของ บริษัท ไทยออยล์ อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก หลังจากเข้ามารับตำแหน่ง โดยระบุว่า กลยุทธ์ของไทยออยล์ประกอบไปด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.Strengthen the Core ในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตการกลั่นน้ำมัน จากปัจจุบันที่มีกำลังการกลั่น 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน หลังจากที่โครงการพลังงานสะอาด (Clean fuel Project : CFP) ซึ่งใช้เงินลงทุน 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปี 2567 รวมทั้งจะเพิ่มขึ้นจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้จาก CFP และค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 11 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากปัจจุบันอยู่ที่ 7-8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนธุรกิจไฟฟ้าก็กำลังมองหาโอกาสในการขยายการลงทุนต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่กำลังผลิตอยู่ที่ 1.6 พันเมกะวัตต์ ซึ่งแน่นอนว่าจะได้เชื้อเพลิงมากในโครงการ CFP
สำหรับกลยุทธ์ที่ 2 Value Chain Enhancement โดยดำเนินการขยายห่วงโซ่การผลิต ผลิตภัณฑ์ ปิโตรเคมี ทั้ง อะโรเมติกส์โอเลฟินส์ และผลิตพิเศษมูลค่าสูง (High Value Specialty Product)ผ่านความร่วมมือและการร่วมลงทุน กับพันธมิตรทั้งในกลุ่มปตท.และนอกกลุ่มปตท. กลยุทธ์ที่ 3 Seedthe Options (ธุรกิจนวัตกรรม) ซึ่งบริษัทจะดำเนินการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ผ่านทางวิจัยและพัฒนา (Research and Development) การร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพ (CorporateVenture Capital & Start-ups) ในธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านการผลิต (Manufacturing Technology) เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิต (Green & Human Technology) เทคโนโลยีเปลี่ยนธุรกิจปิโตรเลียม (Hydrocarbon Disruption Technology)
“อุตสาหกรรมปิโตเลียม(ออยล์และก๊าซ) เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ถูก disrupt จาก 3 เรื่องใหญ่ 1.เปลี่ยนแปลงของโลกทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลก 2.การพัฒนาของเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 3.การแข่งขันทางธุรกิจ แต่เมื่อไทยออยล์มีเป้าหมายที่จะเดินหน้าสู่องค์กร 100 ปี ทำให้ต้องมีการวางแผนกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันยกระดับศักยภาพของธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ” นายวิรัตน์กล่าว
ด้านนางภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการเงินและบัญชี บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรก ค่าการกลั่นถูกกดดัน จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และราคาน้ำมันเบนซิน (ULG) ที่ปรับตัวลดลง อีกทั้งบริษัท ได้หยุดซ่อมบำรุงใหญ่หอกลั่นที่ 3 (CDU3) และหน่วยกลั่นที่เกี่ยวข้องส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการกลั่นปรับตัวลง
อย่างไรก็ตาม ซ่อมบำรุงได้เสร็จสิ้นตั้งแต่ในช่วงกลางไตรมาสที่ 3 และทำให้ในไตรมาสที่ 4 อัตราการใช้กำลังการกลั่นกลับมาอยู่ในระดับปกติ และตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 เป็นต้นไป จนถึงปี 2563 คาดว่า ค่าการกลั่นจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้งเข้าสู่ฤดูหนาวและฤดูกาลท่องเที่ยว
ช่วงปี 2562-2566 บริษัท มีแผนลงทุนเป็นจำนวนเงินทั้งหมดประมาณ 4,834 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ประกอบด้วย โครงการปรับปรุงหน่วยผลิตต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ, โครงการลงทุนด้านโลจิสติกส์และสาธารณูปโภค 299 ล้านเหรียญสหรัฐฯ การเพิ่มทุน GPSC 574 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และโครงการพลังงานสะอาด (CFP) 3,961 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ขณะที่นายฉัตรฐาพงศ์ วังธนากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการพาณิชย์องค์กร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสถานการณ์ด้านตลาดไตรมาส 4/2562 และปี 2563 ว่า ตลาดน้ำมันดิบ ราคามีแนวโน้มอ่อนตัวลง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2562 จากสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาประกอบกับกำลังการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น จากการเปิดดำเนินการของท่อขนส่งน้ำมัน Gray Oak (900KBD) ในสหรัฐฯ ช่วงปลายปีรวมทั้งกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรปรับลดกำลังการผลิตลง เพื่อรักษาสมดุลของอุปทานน้ำมันดิบในตลาดโลก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี