“คมนาคม” ชงเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มรถทุกประเภทที่ก่อให้เกิดปัญหา PM 2.5 พร้อมสั่งขนส่งฯเร่งศึกษาภายใน 1 เดือนคาดมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้
เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2563 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมประสานแผนปฏิบัติการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ว่าสืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 เมื่อ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในเป็นประธานคณะกรรมการฯ ซึ่งในที่ประชุมได้มีการเห็นชอบร่วมกันให้ยกระดับปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นวาระแห่งชาติและขอให้มีการนำมาตรการตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2562 มาบังคับใช้กฎหมายตามมาตรการดังกล่าวแบบ Single Command และพล.อ.ประวิตร ยังได้สั่งการให้ผู้ว่าฯกทม.เป็นผู้พิจารณามาตรการที่จะเข้มขันขึ้นตามสภาพการณ์ที่เหมาะสมกับปริมาณฝุ่น PM 2.5 เพื่อไม่ให้มีผลต่อสุขภาพของประชาชน
ทั้งนี้ ได้มีการสั่งการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคมคือให้ทางกระทรวงคมนาคมจัดหาเครื่องมือตรวจวัดควันดำ(แบบทึบแสง) เพิ่มเติมให้เพียงพอ และให้กรมการขนส่งทางบกและตำรวจ เพิ่มความเข้มขันในการตั้งด่านตรวจควันดำให้ครบทั้ง 50 จุดทั่วกรุงเทพมหานครตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2563 ซึ่งก็ได้มีการสั่งการเพิ่มเติมให้มีการตรวจควันดำทั้งประเทศเพื่อให้สามารถป้องกันได้ตั้งแต่ต้นทางและให้ส่วนราชการตรวจสอบยานพาหนะของส่วนราชการเองให้อยู่ในสภาพที่ดีไม่มีควันดำที่ขณะนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงคมนาคมดำเนินการอยู่แล้ว รวมถึงให้ส่วนราชการพิจารณาการปรับการทำงานเหลื่อมเวลาและให้ราชการลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลและส่งเสริมสนับสนุนให้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทาง
ส่วนในการประชุมครั้งนี้ทางสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้มีการรายงานผลการตรวจสอบควันดำตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2562 ถึง 22 ม.ค. 2563 ว่าทางกรมการขนส่งทางบกได้มีการตรวจสอบรถบรรทุก , รถโดยสารที่มีควันดำเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไปแล้วทั้งหมดจำนวน 57,971 คัน โดยตรวจพบรถที่มีควันดำเกินกฎหมายกำหนด จำนวน 1,087 คัน ซึ่งได้พ่นเครื่องหมายห้ามใช้รถดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งหลังจากพ่นเครื่องหมายแล้วหากมีการนำรถกลับมาให้โดยยังไม่ผ่านการตรวจสอบจะมีโทษปรับครั้งละ 50,000 บาท
ส่วนกรณีที่เป็นรถส่วนบุคคลจะขึ้นกับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจรที่อยู่ภายใต้อำนาจหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)จะมีโทษปรับครั้งละ 1,000 บาท รวมถึงได้การสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯจัดทำแผนรายงานดำเนินการแก้ไขปัญหาของแต่ละหน่วยงานอย่างไรทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยได้มีการหน่วยงานที่มีการบริการสาธารณะเป็นพิเศษ เช่น รถเมล์ ขสมก. ,รถร่วมบริการ และรถ บขส. รวมถึงการรถไฟฯ เป็นต้น
ขณะที่แนวทางการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ของกรมการขนส่งทางราง (ขร.) นั้น ขร.เตรียมหารือร่วมกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในการลดอัตราค่าจอดรถ 50% ในอาคารจอดแล้วจร (PARK & RIDE) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า ทั้งยังเป็นการแก้ไขปัญหาจราจร และถือเป็นมาตรการในการลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนด้วย
อย่างไรก็ตามได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบกไปศึกษาแนวทางการจัดเก็บค่าธรรมเนียมและภาษีในการต่อใบอนุญาต รวมถึงจดทะเบียนรถใหม่ในรถทุกประเภทที่ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน และไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และหลังจากนี้ทางกระทรวงคมนาคมจะต้องบูรณาการประสานงานร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง พร้อมทั้งความร่วมมือจากภาคประชาชนด้วย
นอกจากนี้กรมการขนส่งทางบกจะต้องศึกษาการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต เพื่อเป็นมาตรการสำหรับกำหนดให้รถที่ใช้พลังงานสะอาดมีราคาถูกลง พร้อมทั้งพิจารณาการดำเนินการในการรองรับในทุกด้าน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้รถระบบไฟฟ้า (EV) รวมถึงเชื้อเพลิง NGV และเชื้อเพลิงไบโอดีเซล B20 มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ได้กำหนดกรอบระยะเวลาในการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน จากนั้นจะมีการจัดรับฟังความคิดเห็นกับประชาชน ก่อนที่จะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบ หากเห็นชอบคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี