ll การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (ไวรัสอู่ฮั่น)ที่รุกลามอยู่ทั่วโลกตอนนี้ นอกจากจะกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนแล้ว ภาคเศรษฐกิจก็ได้รับผลกระทบทุกเซ็กเตอร์ หนักที่สุดก็คือธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจบริการ ธุรกิจอีเว้นท์ ฯลฯ
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันธุรกิจท่องเที่ยวของไทยก็รับปัจจัยลบนี้ไปเต็มๆ เพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีนคือตลาดใหญ่ของไทย โดยแต่ละปีเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยกว่า 10 ล้านคน ขณะนี้คาดการณ์กันว่าปีนี้น่าจะหายไปมากกว่า 5 ล้านคน สูญเสียรายได้ไปกว่า 4-5 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในวิกฤติก็ย่อมมีโอกาสเสมอ หลายฝ่ายเชื่อว่าจากการรวมพลังของคนทั่วโลก เชื่อว่านักวิจัยทางการแพทย์น่าจะหาวัคซีนรักษาโรคนนี้ได้ในเร็ววัน และจากการใช้มาตรการที่เข้มงวดของจีนน่าจะหยุดการระบาดในจีนได้ในเร็ววัน และมาตรการเข้มงวดของประเทศอื่นๆ ก็จะมีส่วนช่วยหยุดยั้งการระบาดในพื้นที่นอกประเทศจีนได้
คาดการณ์กันว่าภายในไตรมาส 1 ทุกอย่างน่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ และถ้ามองคอนเซอร์เวทีฟแบบสุดสุด วิกฤตการณ์ครั้งนี้น่าจะจบลงในไตรมาสได้ในไตรมาส 2 และจุดนี้จะเป็นจุดพลิกกลับ และไทยน่าจะได้รับอานิสงส์นี้ไปแบบเต็มๆ ด้วยมาตรฐานทางสาธารณสุขของไทย ที่ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมในเรื่องป้องกันการระบาด การดูแลและรักษาผู้ป่วยทั้งชาวจีนและคนไทย รวมถึงท่าทีของคนไทยที่แสดงออกด้วยมิตรไมตรีต่อชาวจีน....เชื่อว่าในครึ่งปีหลังเมื่อนักท่องเที่ยวชาวจีนได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศได้แล้ว แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งคือ ประเทศไทย เพราะสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้ได้ใจชาวจีนอย่างมาก จากที่เคยรู้สึกชื่นชอบ ก็เปลี่ยนรู้สึกรักและซาบซึ้งในประเทศไทย
นอกจากนั้นนักท่องเที่ยวจากชาติอื่นๆ ก็จะรู้สึกมั่นใจในประเทศไทยมากขึ้น เพราะเขาได้รับรู้แล้วว่าหากต้องประสบเหตุหรือป่วยไข้ในประเทศไทย พวกเขาจะได้รับการดูแลดั่งญาติมิตร ทำให้ไทยจะเป็นจุดหมายปลายทางอันดับแรกที่พวกเขาจะเลือกมา และด้วยคุณภาพทางการแพทย์ของไทยที่ได้แสดงให้ชาวโลกเห็นครั้งนี้ “เมดิคัล ทัวร์ริสซึม” จะกลับมาบูมขึ้นอีกอย่างมากจากที่เติบโตอย่างมากมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ตอนนี้อยู่ที่ว่ารัฐมนตรีว่าการการท่องเที่ยวฯจะเข้าใจหรือว่าจุดแข็งที่แท้จริงของ “ภาคการท่องเที่ยวไทย” นั้นมันคืออะไร...จุดแข็งของเรานั้นไม่ใช่เรื่องของราคา ไม่ใช่แค่เพียงธรรมชาติศิลปวัฒนธรรม ที่งดงาม ไม่ใช่แค่อาหารที่หลากหลาย....จุดแข็งที่สุดของเราคือ “น้ำใจของคนไทย” ที่มีต่อผู้อื่น ซึ่งเรื่องนี้ยากที่ประเทศอื่นจะมีได้เท่าเรา...แม้ว่าญี่ปุ่นจะพยายามใช้จุดเด่นแบบนี้จนทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวญี่ปุ่นเติบโตอย่างมากใน 4-5 ปีมานี้ แต่มันก็เกิดมาจากการที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้สร้างความเข้าใจให้คนญี่ปุ่นตระหนักและต้องทำเพื่อให้มีรายได้จากการท่องเที่ยวมาช่วยพยุงเศรษฐกิจและด้วยความมีวินัยที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอของคนญี่ปุ่นทำให้คนทั้งชาติร่วมมือกับรัฐบาล....แต่สำหรับประเทศไทย “เรื่องของการมีน้ำใจ” มันฝังอยู่ในดีเอ็นเอของเราอยู่แล้ว ไม่ต้องให้รัฐบาลมาบอกหรือมาบังคับ...
ถ้ารัฐมนตรีการท่องเที่ยวฯทำงานเป็น...ก็ไม่ใช่แค่คิดแต่ว่าจะแจกเงินเพราะค่าเงินบาทแข็ง จะยกเลิกวีซ่า เพื่อให้เดินทางเข้า-ออกได้ง่าย เพื่อจะให้ได้ผลงานแต่ในเชิงปริมาณ....เท่านั้น
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี