“จุรินทร์” เดินหน้า “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ดันประเทศไทยปรับตัวเร็วยุค New normal ชูเป็นคลังอาหารโลก เตรียมพบยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต”10 มิ.ย.นี้
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563 เวลา 9.00 น. ที่สมาคมใหหนําแห่งประเทศไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประชุมร่วมนักธุรกิจไทย-จีน ที่สมาคมใหหนําแห่งประเทศไทย ซอยสุรวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร
โดยนายจุรินทร์ ในฐานะประธานในที่ประชุม กล่าวช่วงหนึ่งว่า กระทรวงพาณิชย์กับเอกชนต้องจับมือเดินไปด้วยกัน สิ่งแรกที่ตนทำเมื่อได้รับตำแหน่งคือ ตั้ง กรอ.พาณิชย์ คือ กรรมการร่วมพาณิชย์กับภาคเอกชน โดยเชิญเอกชน 4 สมาคมเข้ามาร่วมงานกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อจับมือกันทำแผนงานและนำรายได้เข้าประเทศช่วยเหลือต้นน้ำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร มีการดำเนินการตั้งวอร์รูมในแต่ละสินค้า ลงรายละเอียดลึกลงไป และมีการทำแผนตลาดร่วมกันว่า ที่ผ่านมาเราช่วยกันฟันฝ่าสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวของโลก และจับมือไปด้วยกันซึ่งเกิดผลดีในระดับหนึ่ง แต่เมื่อมาเจอปัจจัยโควิด เราจึงต้องมาพลิกโควิดเป็นโอกาส ในภาพรวมรัฐบาลก็พยามแก้ปัญหาโดยมุ่งเน้น 2 เรื่องที่จะต้องเดินทางไปด้วยกัน คือสุขภาพ กับ ปากท้อง อย่างสมดุลดัน ในเรื่องสุขภาพไทยเป็นที่ชื่นชมของทั่วโลก เป็นที่ยอมรับติดลำดับต้นของโลกในเรื่องของปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจภาพรวมใหญ่รัฐบาลก็พยายามที่จะดำเนินการใส่เม็ดเงินลงไป สิ่งที่เป็นรูปธรรมที่สุดมี 2 เรื่อง 1.การโอนงบประมาณจากทุกกระทรวง เอามาใส่ตรงกลาง จัดตั้งเป็นพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายที่เข้าสภาเมื่อวาน และที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบในวาระที่หนึ่งแล้วเมื่อฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จะช่วยให้เงินประมาณ 88,000 ล้านบาท 2.พระราชบัญญัติกู้เงิน กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และอีกก้อน 900,000 ล้านบาท ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นคนแบ่งเป็น 500,000 ล้านบาทกับ 400,000 ล้านบาทโดย 500,000 ล้านบาทแรกจะเข้าไปช่วยซื้อตราสารหนี้เอกชนที่สถาบันการเงินเอกชนกู้เอกชนด้วยกันออกมาเพื่อจะได้ไม่ล้มให้ระบบเศรษฐกิจหล่อลื่นได้ อีก 400,000 ล้านบาท ช่วยเรื่อง SME ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์แนวคิดเรื่องพลิกโควิดเป็นโอกาสเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ New Normal ตนเดินสายพบสมาคมผู้แปรรูปอาหารทะเลแช่แข็ง พบผู้ผลิตอาหารแปรรูปเพื่อการส่งออก ผู้ผลิตไก่แช่แข็ง รวมทั้งวันนี้ที่สมาคมใหหนำ และภายใต้สถานการณ์ New Normal ต้องปรับแผนการค้า แผนการส่งออก เดิมเรามุ่งเน้นในเรื่องของตลาดอ๊อฟไลน์ซึ่งวันนี้ไม่พอแล้ว ต้องทำอีคอมเมิร์ซด้วย เพราะโลกแม้ไม่มีโควิดอีคอมเมิร์ซก็เป็นทิศทางสำคัญที่โลกต้องการโดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายพยายามกดดันเราให้หันมาให้ความสำคัญกับอีคอมเมิร์ซ เพราะคิดว่าจะทำให้ประเทศพัฒนาแล้วได้เปรียบ แต่เขาอาจจะคิดผิดก็ได้ เพราะประเทศไทยปรับตัวเร็ว และพวกเราไม่ล้าหลังใคร
ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาเราปรับเป็นการค้าออนไลน์ได้เร็วมากภายใน 2 เดือนแม้เราเจอวิกฤตโควิดตัวเลขส่งออกเราเป็นบวกติดกัน 2 เดือนหลังจากติดลบต่อเนื่อง เพราะเราปรับรูปแบบการค้าและนิทรรศการเป็นออนไลน์และประสบความสำเร็จ ไม่กี่วันก่อนเราจัดรูปแบบออนไลน์มียอดการทำสัญญาจับคู่ธุรกิจ เป็นหลัก 1,000 ล้านบาท และมีเม็ดเงินในการจัดอบรมเด็กจบใหม่ อบรม smart farmers อบรมนักธุรกิจที่อยากก้าวเข้าสู่การค้าออนไลน์ให้มีความรู้ถึงขั้นปฏิบัติได้ และอบรมผู้ส่งออก เรามีโครงการอบรมเป็นการอบรมออนไลน์ของการค้าออนไลน์และเปิดตัวไปแล้ว มีผู้เข้าร่วม 100 กว่าคนทุกภาคในประเทศไทย ช่วยให้มีทัพหน้าที่มีศักยภาพในการนำเงินตรากลับประเทศ และที่สำคัญต่อไปนี้เวลาเราไปจัดงานแสดงสินค้าในต่างประเทศโดยเฉพาะ CLMV ตนมีนโยบายว่าต้องเปิดพื้นที่ส่วนหนึ่ง 10-20% ให้ SME ท้องถิ่น ให้มีโอกาสได้ไปด้วย เท่าที่เราสำรวจตลาดในโลก ประเทศไทยมีศักยภาพในเรื่องอาหารที่มีพื้นฐานทางการเกษตร มีศักยภาพสูงกว่าหลายประเทศในโลก เราสามารถเป็นฐานอาหารโลกได้ไม่ยาก
“จะไม่จับมือกับเอกชนเพียงลำพัง แต่จะชวนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาร่วม เพราะกระทรวงเกษตรฯคือ ผู้ผลิตกระทรวงพาณิชย์คือ ผู้ขาย ต้องเดินหน้าไปด้วยกันภายใต้หลักคิดหลักคิด “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด”โดยมีเอกชนเข้ามาทำงานด้วยกัน ภายใต้ยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” จะเปิดตัวทิศทางนี้ วันที่ 10 มิถุนายนนี้ มีการตั้งเป้าหมายชัดเจนว่าการค้าจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ คุณภาพจะเพิ่มขึ้นร้อยละเท่าไร” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี