นายอิทธิชัย ยศศรี รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)เปิดเผยว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(เอ็มพีไอ) เดือนพฤษภาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 80.31 หดตัว 23.19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ระดับ 104.57นับเป็นอัตราการหดตัวต่ำสุดในรอบ 101 เดือน หรือ 8 ปี 4 เดือนนับจากเดือนมกราคม 2555 เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 ยังส่งผลให้กิจกรรมสำคัญทางเศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงักเพราะหลายประเทศยังใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเข้มข้น ผู้ประกอบการจึงลดวันทำงานลง ทำให้ภาพรวมอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 52.84% โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ใช้อัตรากำลังการผลิต 26.86%
“ยอมรับขณะนี้ไทยยังไม่เห็นแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เห็นผลทันท่วงทีจากทางรัฐบาลหลังโควิด-19 คลี่คลาย เป็นปัจจัยที่หลายฝ่ายอยู่ระหว่างติดตามอย่างใกล้ชิด ประกอบกับยังต้องจับตามองการวางตัวรมว.คลัง ที่มีกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ทำให้การทำงานของรัฐบาลชะงัก โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่สถาบันการเงินยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ดังนั้นไม่เฉพาะ 3 เดือนที่ผ่านมาเท่านั้นที่รัฐบาลต้องออกมาตรการเยียวยาเฉพาะหน้าแต่นโยบายจากนี้ไปก็ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะต้องยอมรับว่าผลกระทบครั้งนี้รุนแรงกว่าทุกครั้งที่ประเทศไทยประสบมา และไม่สามารถคาดเดาได้ว่าสถานการณ์ในระยะข้างหน้าจะเป็นอย่างไร”
อย่างไรก็ตาม สศอ.ประเมินว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนมิถุนายนจะกลับมาดีขึ้น หลังเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของดัชนีเอ็มพีไอเดือนพฤษภาคมเทียบกับเดือนก่อนขยายตัว 2.86% โดยเดือนเมษายนหดตัว 24.69% อยู่ที่ระดับ 78.08 เนื่องจากรัฐบาลผ่อนคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 3 เมื่อวันที่1 มิถุนายน และระยะที่ 4 เมื่อวันที่15 มิถุนายน ช่วยให้กิจกรรมเศรษฐกิจบางส่วนและกิจการบางประเภทสามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้
นอกจากนี้ ยังมีเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจจากมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือประชาชนจากผลกระทบของโควิด-19 ในส่วนต่างๆ ที่คืบหน้าค่อนข้างมาก เช่น มาตรการเยียวยา 5,000 บาท ที่ให้ความช่วยเหลือแล้วกว่า99% ส่งผลต่อกำลังซื้อในประเทศทยอยปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ในต่างประเทศที่ต้องติดตามเพราะส่งผลต่อกำลังซื้อจากต่างประเทศ ทำให้ความต้องการสินค้าจากต่างประเทศเริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้ง ส่งผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมและภาพรวมเศรษฐกิจ
“แม้ดัชนีเอ็มพีไอเดือนพฤษภาคมจะติดลบมาก แต่เมื่อเทียบเดือนต่อเดือนขณะนี้เป็นสัญญาณสำคัญบ่งชี้ว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมน่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ก็ขึ้นอยู่กับการผ่อนคลายล็อกดาวน์ระยะถัดไปจะเอื้อให้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยแค่ไหน รวมถึงสถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรงโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินว่าจะเกิดปัญหาฝนขาดช่วงในฤดูฝน ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย ปริมาณน้ำไม่เพียงพอสำหรับเพาะปลูกส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อจากภาคเกษตรชะลอตัวลงได้” นายอิทธิชัยกล่าว
นายอิทธิชัยกล่าวว่า สศอ.ยังคงคาดการณ์เอ็มพีไอปี 2563 ทั้งปีติดลบ 6-7% จากเดือนมกราคมที่ผ่านมาคาดขยายตัว 2-3% ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่เริ่มมีการคำนวณดัชนีเอ็มพีไอเมื่อเดือนมกราคม2543 และอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวม(จีดีพี) ภาคอุตสาหกรรมติดลบ 5.5-6.5% จากเดิมคาดขยายตัว1.5-2.5%
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี