"พุทธิพงษ์"โชว์เคสผลงานเด่นกระทรวงดีอีเอส ใช้ดิจิทัลแก้ปัญหาเศรษฐกิจ-สังคม หนุนไทยฝ่าวิกฤตสถานการณ์โควิด-19 พร้อมเพิ่มความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ประเทศไทย ไต่อันดับระดับโลกจากการจัดอันดับของIMDมาอยู่ที่อันดับ34 เพิ่มขึ้น4อันดับ
เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ทำให้เห็นการพัฒนาและประยุกต์ใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบ เข้ามาเป็นเครื่องมือแก้ปัญหา และเพิ่มโอกาสใหม่ๆ เพื่อฝ่าวิกฤติ ซึ่งในส่วนของกระทรวงดิจิทัลฯ ที่มีภารกิจเกี่ยวข้องโดยตรง ได้ดำเนินหลายโครงการเพื่อช่วยเหลือประชาชนลดค่าใช้จ่ายในการสื่อสาร องค์กรต่างๆ ทำงานที่บ้านได้อย่างไม่สะดุด ร่วมกับเจ้าของเทคโนโลยีเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการด้านการแพทย์ของโรงพยาบาล สร้างโอกาสคนตกงานเข้าถึงแหล่งงานใหม่ เป็นต้น
โดยยกตัวอย่าง ผลงานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โควิด-19 ร่วมกับ กสทช.และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต 5 ราย เปิดให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงฟรี-โทรฟรี 100 นาที , ร่วมกับ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม ให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านในราคาถูก “เน็ตอยู่บ้าน” สนับสนุนการ ทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) และการเรียนการสอนออนไลน์ในกลุ่มนักเรียนนักศึกษา , การออก พ.ร.ก.ว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2563 เพื่อรองรับให้หน่วยงานรัฐและเอกชน สามารถจัดประชุมออนไลน์ได้ตามกฎหมาย และมีมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของระบบควบคุมการประชุม ที่เป็นมาตรฐานด้าน Security ขั้นต่ำในการดูแลความมั่นคงปลอดภัย เป็นต้น
ขณะเดียวกันยังสนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มและแอพพลิเคชั่นต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยติดตาม และป้องกันควบคุมการขยายวงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่โดดเด่นและได้รับความนิยม อย่างเช่น “ไทยชนะ” สำหรับการ Tracking สถานที่ เพื่อการเดินทางรายบุคคล โดยใช้งานผ่านการเช็คอิน - เช็คเอ้าท์ ร้านค้า/สถานที่สาธารณะ มียอดผู้ใช้งานแล้วมากกว่า 34 ล้านคน จำนวนร้านค้าลงทะเบียน มากกว่า 2.6 แสนร้าน ล่าสุดยังช่วยติดตามจำนวนกลุ่มเสี่ยง 394 คน ใน จ.ระยอง ได้ภายใน 6 ชั่วโมง เพื่อแจ้งเตือนและติดต่อเข้ารับการคัดกรองฟรี
นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ยังได้เปิดพื้นที่หางานออนไลน์ผ่านระบบ “JOBD2U by ThaiFightCOVID-19” ช่วยเหลือคนตกงาน-ว่างงานจากผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 ให้สามารถเข้าถึงโอกาสแหล่งงานใหม่ โดยรวบรวมตำแหน่งงานจากบริษัทด้านดิจิทัลทั่วประเทศ มารวมไว้บน platform นี้ รวมถึงหลักสูตรเรียนรู้ฟรี เพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ
ขณะที่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) หน่วยงานใต้สังกัดกระทรวงฯ ได้ร่วมสนับสนุนการทำงานของแพทย์และเจ้าหน้าที่ โดยรับภารกิจดูแลจัดส่งหน้ากากอนามัย ไปยังบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั่วประเทศ ผ่านโครงการ "ส่งความห่วงใย ส่งให้ สู้ภัย COVID-19" โดยระหว่างวันที่ 1 - 11 มิถุนายน 2563 ได้ทำการขนส่งรวมทั้งสิ้น 147,489,850 ชิ้น
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ในส่วนของการทำงานตามภารกิจกระทรวงฯ เพื่อยกระดับและเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย มีความคืบหน้าหลายด้าน โดยครอบคลุมไปถึงกฎหมายด้านดิจิทัล ตลอดจนการพัฒนาทักษะกำลังคนด้านดิจิทัลของไทย ปูทางสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางโลกและสนามการค้ายุคใหม่ที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง
โดยปัจจัยการจัดอันดับต่างๆ ที่มีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ดังนี้ Internet Bandwidth Speed อันดับที่ 20 (ดีขึ้น 15 อันดับ) Investment in Telecommunications อันดับที่ 20 (ดีขึ้น 5 อันดับ) Public-private Partnership อันดับที่ 16 (ดีขึ้น 4 อันดับ) Digital/Technological Skills อันดับที่ 45 (ดีขึ้น 4 อันดับ)Development and Application of Technology อันดับที่ 32 (ดีขึ้น 2 อันดับ) และ Funding for Technological Development อันดับที่ 27 (ดีขึ้น 2 อันดับ)
ขณะที่ ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ IMD World Competitiveness Ranking 2020 ของสถาบัน IMD World ประจำปี 2563 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับที่ 29 จาก 63 ประเทศ (เป็นอันดับที่สามของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย)
ทั้งนี้ รมว.ดิจิทัล ได้ยกตัวอย่างผลงานโครงการเด่นๆ ได้แก่ โครงการที่หนุนด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ Thailand Digital Valley Thailand เพื่อสนับสนุนการสร้างสภาพแวดล้อม และ Ecosystem ที่เอื้อต่อการพัฒนา การสร้างนวัตกรรมจากเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการสร้างทรัพย์สินทางปัญญาด้านดิจิทัล จัดตั้งอยู่ในเขต EEC เพื่อเป็นฐานของภูมิภาคในการลงทุนด้านเทคโนโลยี AI , VR , AR , IoT , Robotic , 5G Application รองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตร การผลิต และการบริการ
ที่ผ่านมา ได้มีการจัดโรดโชว์เข้าหารือกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำของโลกด้านดิจิทัล ในซิลิคอน วัลเล่ย์ สหรัฐอเมริกา เช่น Seagate Technology , Facebook , CISCO Systems , Google , Amazon Web Services และ Microsoft และได้รับการตอบรับให้ความสนใจเป็นอย่างดี เป็นการปูทางสู่โอกาสการสร้างงาน สร้างรายได้ให้ประเทศ และเสริมสร้างทักษะด้านดิจิทัลให้กับคนไทย ทำให้คนไทยได้มีโอกาสทำงานกับบริษัทผู้นำด้านดิจิทัลระดับโลก
โครงการที่สนับสนุนนโยบายการพัฒนาสู่รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และดิจิทัลไทยแลนด์ ได้แก่ การพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud Service : GDCC) เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ (Cloud Infrastructure) เริ่มให้บริการแล้ว มีหน่วยงานส่งคำขอใช้บริการเข้ามา 472 หน่วยงาน 1,570 ระบบ (ประมาณ 24,118 VM) ซึ่งตามแผนได้มีการกำหนดให้บริการหน่วยประมวลผลรวม 32,000 vCPU ภายในปี 2563 ช่วยประหยัดงบประมาณทางด้านไอทีของภาครัฐได้ 30 - 70% ขณะเดียวกัน ข้อมูลที่สำคัญของประเทศ จะถูกจัดเก็บอยู่ภายในประเทศไทย และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐให้กลายเป็น Big Data ภาครัฐ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการให้บริการประชาชนได้
“การที่เรามีระบบ GDCC หน่วยงานภาครัฐสามารถเข้ามาใช้งานทรัพยากรคอมพิวเตอร์บนระบบ Cloud กลางที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อความต้องการใช้งานในการจัดทำระบบงานสำหรับให้บริการประชาชน, ประชาชนได้รับบริการจากภาครัฐที่มีมาตรฐาน เป็นระบบ และมีความต่อเนื่องในการให้บริการยิ่งขึ้น” นายพุทธิพงษ์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาระบบ Big Data ด้านสาธารณสุข ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ โดย GBDI ร่วมมือกับโรงพยาบาลทั่วประเทศ ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ในการให้ความร่วมมือเชื่อมโยงข้อมูลประวัติการรักษาพยาบาลของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถอนุญาตให้แพทย์เข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการรักษาผู้ป่วย โดยผู้ป่วยเป็นเจ้าของข้อมูล และแพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ต่อเมื่อผู้ป่วยอนุญาตเท่านั้น มีการกำหนดชั้นความลับ เพื่อให้ข้อมูลปลอดภัย และเป็นไปตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีเครือโรงพยาบาล/โรงพยาบาลหลักของประเทศ เข้าร่วมแล้ว 14 แห่งโดยเป็นครั้งแรกที่มีการรวมตัวของผู้บริหารโรงพยาบาลใหญ่ในประเทศไทยได้ครบถ้วนที่สุด และการพัฒนาระบบ Big Data ด้านการท่องเที่ยว สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยวทั้งภาครัฐและเอกชน เก็บรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาเปิดให้บริการแก่ภาคเอกชนหรือหน่วยงานที่สนใจนำข้อมูลมาพัฒนาเป็นบริการให้ประชาชน หรือช่วยธุรกิจการท่องเที่ยวต่อไป ตัวอย่างเช่น 1.บริการ “หมุด” และรายละเอียดแหล่งท่องเที่ยวหลักและรอง 2.การจัดทำมาตรฐานจัดเก็บข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว และ 3.การวิเคราะห์ข้อมูล โดยนำร่องการพัฒนาแล้วใน จ.อุบลราชธานี , อุดรธานี , กระบี่ และภูเก็ต
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ยังมีโครงการที่สนับสนุนทั้งด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และเพิ่มความทั่วถึงเท่าเทียม ได้แก่ การผลักดันให้เกิดการประมูล 5G ในประเทศไทย โดยไทยเป็นประเทศแรกๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เริ่มมีการวาง cell site เพื่อรองรับการให้บริการ 5G โดยภาคเอกชน หลังจากเสร็จสิ้นการประมูล 5G เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 คาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ภายในปี 2564 โดยกระทรวงฯ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี 5G ของประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยมีแนวทาง มาตรการ และกลไกในในการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี 5G สู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล
นอกจากนี้ ยังผลักดันความคืบหน้าการควบรวม CAT-TOT รับมือการแข่งขันในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยจะทำให้กลายเป็นบริษัทที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารขนาดใหญ่และครอบคลุมทั่วประเทศ อีกทั้งช่วยให้ผู้ใช้บริการเข้าถึงโครงข่ายการสื่อสารได้ในราคาที่เหมาะสม โดย ครม.มีมติเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 และตามเป้าหมายการควบรวมจะแล้วเสร็จเป็น บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ ในปี 2564
ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในด้านกฎหมายเพื่อหนุนเสริมการได้รับการยอมรับในนระดับสากล ปัจจุบัน ได้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยอยู่ระหว่างการร่างกฎหมายลูก โดยมีการรับฟังความเห็นจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนหลายภาคส่วน เพื่อสร้างความโปร่งใสในการดำเนินการ และให้การบังคับใช้กฎหมายมีความเหมาะสม และเกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง อีกทั้งยกระดับประสิทธิภาพการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ขณะเดียวกันการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ โดยดำเนินการคืบหน้าไปแล้วในหลายเรื่อง และอยู่ระหว่างการเสนอรายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อพิจารณานำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อมีคำสั่งแต่งตั้ง อีกทั้ง อยู่ระหว่างการเสนอ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การแต่งตั้งเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ต่อคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติเพื่อลงนามและประกาศใช้ต่อไป และมีการจัดทำ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเปิดตลาดให้ดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศเชิงพาณิชย์ พ.ศ. .... เพื่อเป็นแนวนโยบายในระดับรัฐ (State Level) ที่ชัดเจนในการพิจารณาอนุญาตให้ดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศเชิงพาณิชย์ ซึ่งสำนักงาน กสทช. จะดำเนินการพิจารณาอนุญาตให้ดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศเชิงพาณิชย์ในระดับผู้ประกอบการ (Firm Level) ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี