นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย KrungthaiCOMPASS ธนาคารกรุงไทย (KTB)ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะขยายตัวที่ระดับ 2.5% พ้นจากภาวะถดถอยที่เกิดขึ้นในปี 2563 ที่เศรษฐกิจหดตัว 6.5% ถึงแม้ว่าการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19จะกระทบการใช้จ่ายของภาคเอกชนอย่างมากในขณะนี้โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ แต่หากมาตรการที่ใช้อยู่สามารถควบคุมสถานการณ์ภายใน 2-3 เดือน จำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 109.6 ล้านคน ต่ำลงกว่าประมาณการเดิมที่ 131.8 ล้านคน แต่ก็ยังสูงกว่าปีก่อนหน้าที่ 91.2 ล้านคน
“ความเข้มงวดในการควบคุมโรค กระทบการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวการเดินทางภายในประเทศ ทั้งนี้ในช่วงไตรมาส 3-4 ในปี
ที่ผ่านมา สถานการณ์เริ่มฟื้นตัว แต่ภายหลังมีการระบาดระลอกใหม่ทำให้การท่องเที่ยวภายในประเทศได้รับผลกระทบ ล่าสุดมีสัญญาณหดตัวอย่างเห็นได้ชัด จะเห็นได้จากจำนวนเที่ยวบินภายในประเทศ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองโดยจำนวนเที่ยวบินที่ไม่ได้บินตามที่วางแผนไว้เพิ่มมากขึ้น” นายพชรพจน์กล่าว
การแพร่ระบาดระลอกใหม่ทำให้เกิดค่าเสียโอกาสไม่ต่ำกว่า 1.6 แสนล้านบาทจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ล่าช้าออกไปท่ามกลางความไม่แน่นอน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่กดดันเศรษฐกิจอยู่ เช่น การขาดแคลนตู้สินค้าในการส่งออก การแข็งค่าของเงินบาท และภาวะแล้งที่ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในครึ่งหลังของปีจะได้รับอานิสงส์จากวัคซีนโควิด-19 ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการควบคุมการแพร่ระบาดทั่วโลกได้อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ ธนาคารคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับมาเป็นบวกตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงกว่าปีที่ผ่านมาแต่เศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวทำให้อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำต่อไป ส่วนค่าเงินบาทแข็งค่ามีปัจจัยหลักมาจากแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐสนับสนุนโดยการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยและกระแสเม็ดเงินไหลกลับเข้าตลาดเกิดใหม่ ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ยังคงดอกเบี้ยหรืออาจปรับลดดอกเบี้ยได้อีกครั้งหากการแพร่ระบาดระลอกใหม่กระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรงจนทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มหดตัว
นายมานะ นิมิตรวานิช ผู้อำนวยการฝ่ายศูนย์วิจัย Krungthai COMPASSกล่าวว่า ธุรกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ในระยะข้างหน้า บริบทใหม่ของโลกที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม ทำให้ประเทศมหาอำนาจของโลกให้น้ำหนักกับประเด็นนี้มากขึ้น และอาจมาใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้า ภาคธุรกิจไทยจึงต้องเตรียมการรับมือ โดยหันมาดำเนินธุรกิจบนฐานของความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันด้วยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ดี ปัจจัยแวดล้อมใหม่ก็อาจส่งผลบวกต่อการค้าไทยได้เช่นกัน เช่นแนวนโยบายของผู้นำสหรัฐฯ ที่จะปรับตัวเข้าสู่กฎกติกาสากลมากขึ้น ซึ่งผลการศึกษาชี้ว่าจะส่งผลบวกต่อการส่งออกของไทยอย่างชัดเจน อีกทั้ง ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่จะส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้า จากสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีที่เพิ่มขึ้น และอานิสงส์จากการค้าระหว่างคู่เจรจาที่จะคึกคักขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี