nn ช่วงนี้“อุตสาหกรรมเหล็ก”กลับขึ้นมาอยู่บนหน้าสื่อแบบถี่ๆอีกครั้ง ในประเด็นที่ว่าราคาเหล็กในประเทศปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ดันราคาหุ้นกลุ่มเหล็กวิ่งกระฉูด...ดูแค่นี้หลายคนคงคิดว่าผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศคงจะรวยอู้ฟู่ อาการคงจะดีขึ้นหลังจากที่ต้องเผชิญสารพัดปัญหาอันหนักหน่วงก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเรื่องปริมาณความต้องการใช้เหล็กที่ลดลงจนสินค้าล้นตลาด ปัญหาการถูกสินค้านำเข้าทุ่มตลาด ฯลฯ
ย้ำอีกครั้งตรงนี้ว่าสถานการณ์ราคาเหล็กขณะนี้ไม่ได้ทำให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยนั้นลืมตาอ้าปากได้อย่างที่คิดกันเลย เพราะราคาเหล็กในประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้นเป็นการปรับขึ้นตามต้นทุน (เหล็กต้นน้ำ) ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามกลไกตลาดโลก....และทุกวันนี้อุตสาหกรรมเหล็กไทยก็ยังปัญหาในเชิงโครงสร้างที่สะสมมานานหลาย 10 ปี ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กไทยนั้น เปรียบเสมือน“คนหัวโต ขาลีบ แขนอ่อนแรง”... ซึ่งเกิดมาตั้งแต่นโยบายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเหล็กเมื่อหลายปีก่อน ที่เน้นแต่อุตสาหกรรมเหล็ก ขั้นกลางน้ำ และปลายน้ำ แต่ไม่มีการส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล็กขั้นต้นน้ำเลย...สุดท้ายก็ก่อให้เกิดปัญหา...ห่วงโซ่อุปทานไม่สมดุล ( Supply Chain Imbalance)
ข้อมูลที่สุดชัดในเรื่องนี้คือว่า ปัจจุบันประเทศไทย มีอุตสาหกรรมเหล็กขั้นกลางน้ำ ที่ผลิตเหล็กทรงยาว (เหล็กเส้น เหล็กข้ออ้อย เหล็กลวด ฯลฯ) และ เหล็กทรงแบน (เหล็กแผ่น/ม้วนรีดร้อย-รีดเย็น ฯลฯ) ซึ่งแบ่งได้ 2 จำพวก 1. กลุ่มที่มีโรงงานเตาหลอมและโรงงานรีดเหล็ก 31 โรงงาน มีกำลังการผลิต 13.2 ล้านตันต่อปี มีความต้องการใช้วัตถุดิบ (เศษเหล็ก
เหล็กพรุน เหล็กพิค ) 14.5 ล้านตันต่อปี...แต่มีเศษเหล็กในประเทศเพียง 3.6 ล้านตันต่อปี ส่วนเหล็กพรุน เหล็กพิค ต้องนำเข้าทั้ง 100% 2.กลุ่มที่มีเฉพาะโรงรีด 28 โรงงาน มีกำลังการผลิตรวม 12.5 ล้านตันต่อปี มีความต้องการใช้วัตถุดิบ (บิลเล็ต (Billet) และ สแลบ (Slab) 13 ล้านตันต่อปี แต่ต้องนำเข้าทั้งหมด ....
ดังนั้นจากข้อมูลตรงนี้สรุปว่าอุตสาหกรรมเหล็กไทยไม่มีความแข็งแรงเลย เพราะไม่สามารถยืนได้ด้วยขาของตัวเอง ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากการนำเข้ากว่า 90% ...เห็นได้จากเวลานี้ที่ประเทศจีน เร่งกว้านซื้อแร่เหล็ก เศษเหล็ก บิลเล็ต สแลบ จนทำให้ราคาในตลาดโลกดีดตัวสูงขึ้น 50-70% อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทย ก็หลีกไม่พ้นที่จะต้องจัดหาวัตถุดิบเข้ามาในราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วย จนทำให้ผู้ใช้เหล็กในประเทศได้รับความเดือดร้อนโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง ที่ไปประมูลงานได้มาในช่วงราคาเหล็กที่ต่ำกว่าขณะนี้ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องดำเนินงานในโครงการที่ประมูลมาได้
นอกจากปัญหาเรื่องความไม่สมดุลของห่วงโซ่อุปทาน ที่กล่าวมาข้างต้น ที่หนักหนากว่านั้นสินค้ากลางน้ำ สินค้าปลายน้ำ ที่ไทยผลิตได้ก็มีปริมาณเกินกว่าความต้องการของตลาดด้วยซ้ำไป ยังไม่นับรวมที่ซ้ำเติมด้วยการถูกสินค้านำเข้าจากหลายประเทศเข้ามาทุ่มตลาดอีก
กลับมาที่ปัญหาราคาเหล็กในประเทศที่สูงขึ้นอยู่ขณะนี้ ที่แนวทางแก้ไขที่กระทรวงพาณิชย์ กำลังวางแนวทางอยู่นั้น เช่น
1. จัด Business Matching ระหว่าง สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยฯ เป็นตัวแทนผู้ใช้ กับ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เป็นตัวแทนฝั่งผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็ก ซึ่งจะได้ประสานเชื่อมโยงการซื้อขายโดยตรง เพื่อลดการผ่านคนกลาง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนลดลง 2. พิจารณาทบทวนค่าตัวเลขดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของค่างาน (ค่า K) ของงานโครงการภาครัฐ โดยจะได้จัดให้มีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยฯ ทั้งในด้านการสืบราคาจำหน่ายและการกำหนดค่า K ให้สะท้อนกับราคาในตลาดยิ่งขึ้น 3. ขอความร่วมมือผู้ผลิตเหล็กตรึงราคาจำหน่าย และต้องจำหน่ายในราคาที่สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง...เป็นแนวทางที่ดีที่สุดที่ทำได้ ณ ขณะนี้ และดูเหมือนจะได้รับเสียงสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ส่วนแนวทางที่เคยมีการพูดถึงว่า ภาครัฐ (ซึ่งน่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์) อาจจะมีการนำเข้าเหล็กมาในประเทศ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ราคาเหล็ก ในประเทศสูงจนเกินไป โดยเฉพาะเหล็กเส้นก่อสร้าง....น่าจะเป็นวิธีที่ไม่ควรนำมาใช้เลยจริงๆ...เพราะปัจจุบันเหล็กเส้นก่อสร้างในประเทศไทย มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 11 ล้านตันต่อปี แต่ความต้องการใช้ในประเทศมีเพียง 4 ล้านตันต่อปี ชี้ชัดว่าเหล็กเส้นก่อสร้างไม่ได้เกิดการขาดแคลนเหล็กในประเทศ ซ้ำยังมีการผลิตเกินความต้องการด้วยซ้ำไป...หากใช้วิธีนี้นอกจากจะไม่ใช่การแก้ปัญหาแล้วยังจะส่งผลให้เกิดปัญหาสะสมในระยะยาวจนยากจะแก้ไขด้วย
พูดถึงการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุดและสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กไทย...ในอดีตมีตัวอย่างอยู่หลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิก เซฟการ์ดแผ่นเหล็กรีดร้อน ยกเลิกใช้มาตรการป้องการทุ่มตลาด (AD) เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี การเพิ่มกำลังผลิตเหล็กเส้น ด้วยการอนุญาตก่อตั้งโรงงานใหม่ ( เตาอินดรัคชั่น) ฯลฯ
และล่าสุดสดๆ ร้อนๆ ก็คือกรณีของ AD สินค้าเหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อนแล้วทาสี (PPGL) จากจีน และ เกาหลีใต้ ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2564 แต่ให้มีข้อยกเว้นให้มีการเรียกเก็บอากร 0% เป็นระยะเวลา 6 เดือน
ต้องบอกว่าเป็นการดำเนินการที่สวนทางกับประเทศอื่นๆที่พยายามป้องกันการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งสินค้าจากไทยหลายรายการก็ถูกใช้มาตรการ AD ในช่วงการแพร่ระบาดโควิด 19 นี้ หรือแม้แต่ประเทศในอาเซียนเองก็มีการใช้มาตรการ AD กับสินค้าเหล็กหลายรายการ เช่น เวียดนามใช้มาตรการ AD สินค้าเหล็กแผ่นรีดเย็นกับจีน มาเลเซียใช้มาตรการ AD กับสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมจากอินโดนีเซีย และเวียดนาม และ AD สินค้าเหล็กเคลือบจากจีน และเกาหลีใต้ แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีการเก็บอากร 0% เหมือนไทย
สำหรับกรณีสินค้า PPGL ในกรณีของ ไทยนี้พิสูจน์แล้วว่าเกิดการค้าที่ไม่เป็นธรรม มีอัตราการทุ่มตลาด 4.27-40.77% ซึ่งจากสถานการณ์ตลาดเหล็กโลกในปัจจุบันที่มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 6 เดือนนี้อาจจะมีการเร่งนำเข้ามาเพื่อกักตุนเพื่อเก็งกำไร โดยเฉพาะสินค้าที่มีอัตราการทุ่มตลาดถึง 40.77% และส่งผลให้เป็นการบั่นทอนประสิทธิภาพของมาตรการ ถึงแม้ว่าหลัง 6 เดือนไปแล้ว และมีการเรียกเก็บอากรก็ตาม แต่เนื่องจากมีการกักตุนสินค้าทุ่มตลาดในปริมาณมาก สินค้าเหล่านี้ก็จะออกมาในตลาดแทน และจะมีการขายในราคาสูงแทนที่จะขายในราคานำเข้าที่มีการทุ่มตลาด ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้ จะเป็นการทำให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน และไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภค เนื่องจากยังคงได้สินค้าราคาสูงเช่นเดิม นอกจากนี้หากหลังจาก 6 เดือนหากราคาสินค้าในตลาดโลกมีการปรับตัวลดลง อุตสาหกรรมภายในก็จะได้รับผลกระทบจากการที่ซื้อวัตถุดิบในราคาสูงในช่วงนี้ แต่ถูกสินค้าทุ่มตลาดแย่งส่วนแบ่งตลาดไป ทำให้เหลือ stock สูง และต้องรับภาระขาดทุนเพิ่มเติมอีก ซึ่งเป็นการซ้ำเติมอุตสาหกรรมภายในอีกด้วย
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดวันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคมนี้ จะมีการประชุมของคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน (บอร์ดAD) ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ซึ่งมีวาระสำคัญๆ เกี่ยวกับมาตรการปกป้องสินค้ากลุ่มเหล็กสำคัญๆ ซึ่งยังต้องเผชิญกับปัญหาความไม่สมดุลของห่วงโซ่อุปทานอยู่....ก็ได้แต่หวังว่า กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการ พิจารณาการทุ่มตลาดฯ และ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์...จะไม่ตัดสินใจอะไรที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนในอดีตที่ผ่านมาอีก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี