นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 6 ในเดือนพฤษภาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ “มาตรการเยียวยาแบบไหนถูกใจ SME” พบว่า จากการสำรวจผู้บริหาร สอท. (CEO Survey) จำนวน 170 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่าส่วนใหญ่ มองว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลกระทบต่อ SME มากกว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 ในปี 2563 คิดเป็น 89.4% รองลงมามองว่าได้รับผลกระทบเทียบเท่ากับปี 2563 และน้อยกว่าปี 2563 คิดเป็น 5.3% และ 4.1% ตามลำดับ ในส่วนของมุมมองเรื่องผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ SME พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร สอท. มีความเป็นห่วงเรื่องความเสี่ยงจากการติดเชื้อของแรงงานในสถานประกอบการ คิดเป็น 91.2% รองลงมาเป็นเรื่องการขาดสภาพคล่องทางการเงินในการดำเนินธุรกิจจากการหยุดกิจการ คิดเป็น 74.1% และเรื่องความต้องการสินค้าและบริการที่ลดลง รวมถึงการชะลอการรับสินค้า คิดเป็น 67.1%
สำหรับมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ SME ของภาครัฐในปัจจุบันที่ผู้บริหารสอท. มองว่ามีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบของ SME ได้ 3 อันดับแรกได้แก่ มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ เช่น คนละครึ่งเฟส 3, เราชนะ,ม33, ขยายวงเงินช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ เป็นต้นคิดเป็น71.2% รองลงมาเป็นมาตรการลดเงินสมทบประกันสังคม เหลือฝั่งละ 2.5% เป็นเวลา 3 เดือน คิดเป็น 64.7% และมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 คิดเป็น 61.8%
ทั้งนี้ ภาครัฐจำเป็นต้องออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือ SME เพิ่มเติม เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ โดย 3 อันดับแรก ได้แก่มาตรการลดค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าสาธารณูปโภคจำนวน 30% คิดเป็น 59.4% รองลงมาเป็นการลดค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการและค่าส่วนกลางของห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า พื้นที่เช่าโรงงาน 50% โดยผู้ให้เช่าสามารถนำส่วนลดไปลดหย่อนภาษีในรอบบัญชีถัดไปได้ คิดเป็น 55.3% ถัดไปเป็นการขยายระยะเวลาจัดเก็บภาษี VAT และเร่งคืนเงินภาษี VAT ให้กับผู้ประกอบการ SME ที่ส่งออก ภายใน 15 วัน และการอนุญาตให้นิติบุคคลที่เป็น SME เข้าร่วมโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐได้ มีคะแนนเท่ากันที่ 53.5%
ทั้งนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกถึงกรณีที่ภาครัฐเตรียมจะออก พ.ร.ก.กู้เงิน5 แสนล้านบาท เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโควิด-19 ว่าควรนำเงินดังกล่าวไปใช้ในเรื่องใด พบว่า 3 อันดับแรกคือ 1.ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ 2.ช่วยเหลือเยียวยาให้แก่ประชาชน และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ คิดเป็น 70.6% และ3.แก้ไขปัญหาการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19
ขณะที่ผู้บริหาร สอท. ยังได้ประเมินว่า จากแผนการใช้เงินกู้ 5 แสนล้านบาทจะสามารถช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในช่วงใด ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติช่วงกลางปี 2565 อย่างไรก็ตามมองว่าจำนวนเงินดังกล่าวไม่เพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ยังมองว่า หลังจากวิกฤติโควิด-19 สิ้นสุด SME ไทยควรให้ความสำคัญกับการปรับตัวเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจในอนาคตเรื่องใดบ้าง พบว่าส่วนใหญ่เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาช่วยในการดำเนินธุรกิจพัฒนาทักษะแรงงาน และเพิ่ม Multi Skill ให้กับแรงงานในสถานประกอบการ บริหารจัดการด้านการเงินเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี