นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “นโยบายเศรษฐกิจจาก Pandemic สู่ Endemic” เนื่องในโอกาสครบรอบวันสถาปนาสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปีที่ 60 ว่า ปัจจุบันประเทศของเราอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งทั่วโลกยังคงมีการแพร่ระบาด ประเด็นอยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรให้อยู่รอดปลอดภัย ปัจจุบันหลายประเทศจะมองในเรื่องที่ว่าจะอยู่ร่วมกับการแพร่ระบาดได้อย่างไร ขณะที่เศรษฐกิจต้องเดินหน้าต่อไป ซึ่งประเทศไทยเองจากสัดส่วนรายได้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) 12% หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาทมาจากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจากการแพร่ระบาดทั่วโลกทำให้เดินทางท่องเที่ยวไม่ได้
เพราะฉะนั้นการที่รายได้ของประเทศหายไปกระทบต่อชีวิตของคนภายในประเทศทั้งหมด โดยเฉพาะประชาชนที่ทำงานอยู่ในภาคการท่องเที่ยวตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงภาคการเกษตรก็ได้รับผลกระทบเช่นกันสิ่งสำคัญและเป็นปัจจัยหลักนี้ คือ บทบาทของนโยบายการคลังและนโยบายการเงินมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะทุกประเทศทุกรัฐบาลต้องใช้จ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบทันที
ดังนั้น สิ่งแรกที่ทุกประเทศทั่วโลกทำคือ การจ่ายเงินเยียวยาให้กับประชาชน ในส่วนของประเทศไทย ได้กู้เงินเพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 รวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาทเป็นการกู้เงินที่มากกว่าปกติ ส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะสูงขึ้นจำเป็นต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 60% ต่อจีดีพี เพื่อเปิดช่องให้รัฐบาลสามารถกู้เงินเพิ่มหากมีเหตุการณ์ยืดเยื้อต้องใช้เงิน
ในภาวะวิกฤติสิ่งสำคัญ คือ นโยบายการเงินและนโยบายการคลังต้องประสานกัน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ใน 3 ระดับ คือ 1.ภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจระดับมหภาค ซึ่งเป็นบทบาทโดยตรงของนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง2.ภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจระดับหน่วยธุรกิจ คือภาคเอกชน โดยต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้เอกชนที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังอยู่รอดปลอดภัย มีภูมิคุ้มกัน ไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไรก็ตาม และ 3.ภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจระดับประชาชน ที่เมื่อได้รับผลกระทบ ประชาชนยังมีรายได้เพียงพอประทังชีวิตในระดับหนึ่ง นอกเหนือจากการช่วยเหลือของภาครัฐ
สิ่งที่ต้องคิดต่อไปคือ วิธีการหารายได้ของรัฐ ซึ่งจะมาจากการปฏิรูปโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ ที่ต้องคิดเรื่องนี้ว่าจะมีวิธีการอย่างไรให้ระดับรายได้
ของรัฐมั่นคง ขณะที่ภาครัฐและภาคธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่เข้าสู่ยุคปกติที่ไม่ปกติ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจต้องมีการดึงเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้มากขึ้น นอกจากนี้ ต้องให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นการสนับสนุนธุรกิจที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จึงเป็นเรื่องสำคัญ รวมทั้งการปรับโครงสร้างประชากร เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย
ดังนั้นการลงทุนด้านการแพทย์ สาธารณสุข สุขภาพอนามัยเพื่อความยืนยาวของชีวิต การดูแลผู้สูงอายุเป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงการสร้างการเติบโตผ่านเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ๆ ได้แก่ การสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป ทุกหน่วยงานต้องเข้ามาช่วยกันในเรื่องนี้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ทุกระดับมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะมั่นคงเพียงพอในการรับมือกับวิกฤตการณ์ต่างๆ ในอนาคต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี