พลังงานกาง‘แพ็คเกจ’ช่วยประชาชน ฝ่า‘ก๊าซหุงต้ม-น้ำมัน-ค่าไฟ’ขยับ
11 มีนาคม 2565 กระทรวงพลังงาน นำโดยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน แถลงสถานการณ์ราคาพลังงาน และแผนรับมือ พร้อมเร่งรณรงค์ทุกภาคส่วน “รวมพลังคนไทย ลดใช้พลังงานหาร 2” หลังจากราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งในรอบ 14 ปี หลังเกิดวิกฤตสงครามยูเครน-รัสเซียจนราคาน้ำมันดิบแตะ 130 ดอลลาร์/บาร์เรล และดีเซลสิงคโปร์พุ่งสูงสุดเป็น 180 ดอลลาร์/บาร์เรล (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ชาวบ้านจ๊าก!!!‘ก๊าซหุงต้ม’ขึ้น 1 เม.ย.นี้ 15 บาทต่อถัง-ค่าไฟขยับ)
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในส่วนกลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซิน กระทรวงพลังงาน พยายามหารือกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม โดยจะช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีจำนวน 13.5 ล้านคน โดยจะโฟกัสกลุ่มผู้ใช้รถจักยานยนต์ ซึ่งปัจจุบันพบว่าประชาชนที่จดทะเบียนรถจักรยานยนต์กับกรมขนส่งทางบกมีอยู่ 21 ล้านคัน โดยจึงต้องดูจำนวนรถกับจำนวนผู้ถือบัตรว่ามีปริมาณเท่าไหร่ โดยพยายามให้ออกมาเร็วที่สุด แล้วมาดูงบประมาณเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินดังกล่าว
ขณะที่ราคาไฟฟ้าต้องยอมรับว่าจะต้องปรับขึ้นแน่นอน ตามอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที) แต่จะพยายามบริหารจัดการไม่ให้ขึ้นสูงมาก โดย กกพ.ได้ทำการบ้าน และพยายามทำให้อยู่ในกรอบเดิม ซึ่งมีแนวคิดจะช่วยประชาชนที่ใช้ไฟฟ้าระดับไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน หรือคิดเป็นเงินประมาณ 1,200 บาทต่อเดือนให้อยู่ในราคาเดิม ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมหางบประมาณว่าจะต้องใช้เท่าไร
ด้านนายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. กล่าวว่า ยอมรับว่ามีความจำเป็นที่ต้องมีการปรับอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที) งวดเดือนพ.ค.-ส.ค.2565 ขึ้นตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้นเกินกว่าสมมติฐานที่ประมาณการราคาน้ำมันดิบไว้ไม่เกิน 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้ค่าเอฟทีที่สะท้อนต้นทุนจริงเพิ่มขึ้นไปเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันได 16.71 สตางค์/หน่วย อย่างไรก็ตาม กกพ. จะพยายามบริหารจัดหาเชื้อเพลิงอื่นที่มีต้นทุนถูกกว่าก๊าซมาผลิตไฟฟ้า เพื่อประคองค่าเอฟทีให้ปรับขึ้นไม่เกินกรอบที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด
ส่วนนางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า กรมได้มีการประสานไปยังโรงกลั่นทุกแห่ง ยืนยันมีแผนบริหารจัดหาปริมาณก๊าซธรรมชาติเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ 66 วัน หรือประมาณ 2 เดือน แบ่งเป็นปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 5,686.44 ล้านลิตร และปริมาณน้ำมันสำเร็จรูป 1,703.61 ล้านลิตร รวมกับปริมาณนำเข้าน้ำมันของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) 636 ล้านลิตร ขณะที่ปัจจุบันไทยมีความต้องการใช้น้ำมันดิบเฉลี่ย 123.25 ล้านบาร์เรล/วัน ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ย 119.88 ล้านลิตร/วัน
“กรมได้เตรียมมาตรการรองรับวิกฤตพลังงาน โดยได้ประสานผู้ค้าน้ำมัน เพื่อเตรียมประกาศเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย ให้ปริมาณน้ำมันดิบสำรองเพิ่มเป็น 5% จากเดิม 4% และน้ำมันสำเร็จรูปสำรองเพิ่มเป็น 2% จาก 1% ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นจากผู้ค้าน้ำมัน คาดว่าจะมีข้อสรุปภายใน 1 สัปดาห์ โดยยอมรับว่าการเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันทุก 1% ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศเพิ่มขึ้น 60 สตางค์/ลิตร”นางสาวนันธิกากล่าว
ขณะที่นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า กรมฯได้เร่งบริหารจัดการในการเปลี่ยนผ่านการผลิตก๊าซฯแหล่งเอราวัณ ( G1/61) จากผู้รับสัมปทานรายเดิมสู่รายใหม่และเปลี่ยนแปลงระบบจากสัมปทานสู่ ระบบแบ่งปันผลผลิต ที่จะเริ่มในปลายเดือน เม.ย. 65 เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้อย่างราบรื่นไม่ให้กระทบ การจัดหาก๊าซฯเพิ่มเติมจากแหล่งที่มีศักยภาพในประเทศ และแหล่งพัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ตลอดจนได้เร่งดำเนินการเปิดให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 24 บริเวณทะเลอ่าวไทย เพื่อนำทรัพยากรปิโตรเลียมมาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่และเพิ่มโอกาสในการพบแหล่งปิโตรเลียมในประเทศ เป็นต้น
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี