‘สุพัฒนพงษ์’ดึงธรรมาภิบาลกระตุ้นโรงกลั่นควักกำไรช่วยประชาชน คาดชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ ด้าน 6 โรงกลั่นระดมสมองสรุปแนวทางช่วงน้ำมันขาขึ้น
30 มิถุนายน 2565 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า เบื้องต้นการขอความร่วมมือโรงกลั่นนำกำไรส่วนเกินเข้ามาช่วยอุดหนุนราคาพลังงานน่าจะมีความชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ โดยยังไม่มีการเสนอตัวเงินช่วยเหลือเข้ามา ต้องรอผลการเจรจาของคณะทำงานกับโรงกลั่นว่าจะเป็นรูปแบบใด และยังไม่ทราบว่าจำเป็นต้องออกกฎระเบียบรองรับหรือไม่ อาจไม่จำเป็นต้องเป็นการนำเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่เป็นความสมัครใจของโรงกลั่น ภายในกรอบเวลาช่วยเหลือ 3 เดือน
“ความช่วยเหลือจากโรงกลั่นจะเป็นแนวทางบริจาค เพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางหรือไม่ ยังไม่ทราบ ขณะนี้มีหลายแนวทาง อย่าเพิ่งไปบังคับผู้ประกอบการ ให้ผู้ประกอบการโรงกลั่นได้มีเวลาคิดเอง อะไรก็แล้วแต่ให้คิดเอา อย่างน้อยได้ส่งสัญญาณขอให้คิดให้ดีว่า เมื่อยามที่เราพ้นน้ำแล้ว แต่ประชาชนบางส่วนยังได้รับความเดือดร้อน แม้จะเป็นราคาตามกลไกตลาดเสรีก็ตาม แต่ประชาชนยังไม่พ้นน้ำ แถมราคาพลังงานยังเพิ่มขึ้นติดต่อกันมาก โดยส่วนตัวเชื่อว่าผู้ประกอบการทุกรายมีธรรมาภิบาลที่ดี ไม่เพียงดูแลกำไรสูงสุด แต่เข้าใจถึงปัญหาของประชาชน สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินการอยู่แล้วด้วย แต่เรื่องนี้โรงกลั่นจะทำในรูปแบบใด อย่าไปกำหนดหรืออย่าบังคับวิธีการทำ รวมถึงไม่ว่าจะเป็นบางรายหรือทั้งหมด ส่วนผู้ประกอบการโรงกลั่นต่างชาติในไทยจะสมัครใจให้ความช่วยเหลือราคาพลังงานในช่วงวิกฤต ประเทศไทยน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดี” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายมีข้อกังวลต่อสถานะการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะติดลบถึง 2 แสนล้านบาทภายในสิ้นปี 2565 นั้น เป็นเรื่องการบริหารสภาพคล่องของกองทุนและรัฐบาล โดยรัฐยังยืนยันอุดหนุนราคาดีเซลในสัดส่วนครึ่งหนึ่งของราคาจริงตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) แต่ในระยะต่อไปกองทุนจะทยอยปรับขึ้นราคาหรือไม่/อย่างไร เป็นเรื่องที่กองทุนจะไปพิจารณา โดยมีการหารือกับคณะอนุกรรมการของกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาแนวทางหาเงินอุดหนุนต่อไป ส่วนความคืบหน้าการกู้เงิน 20,000 ล้านบาทก้อนแรกจากสถาบันการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องของกองทุน คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในสิ้นเดือนก.ค.นี้
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ราคาดีเซลตลาดโลกที่ลดลง ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถนำไปลดราคาขายปลีกดีเซลในประเทศได้ทันที แต่ช่วยลดภาระการอุดหนุนของกองทุนได้ระดับหนึ่งที่ยังอุดหนุนอยู่ 50% ยังไม่ลดการอุดหนุนเหลือ 25% แต่กองทุนจะมีการปรับเพดานราคาขึ้นเป็น 36 บาท/ลิตรหรือไม่ ต้องรอดูสัปดาห์นี้ว่าผลการเจรจาผู้ประกอบการโรงกลั่นมีการตอบรับออกมาอย่างไรด้วย ถ้าโรงกลั่นไม่ตอบรับ แล้วสภาพคล่องของกองทุนยังมี ก็ไปต่อได้ เชื่อว่าสิ้นเดือนก.ค.นี้มีทางออกแน่นอน
อย่างไรก็ตามในส่วนของการเน้นช่วยเหลือราคาพลังงานเฉพาะกลุ่มเปราะบางนั้น มีการสำรองงบกลางเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เช่น พ่อค้าหาบเร่ แผงลอย วินมอเตอร์ไซค์แล้วเป็นเวลา 3 เดือน โดยกำลังพิจารณาหลักเกณฑ์ให้มีความชัดเจน เพื่อให้ความช่วยเหลือถูกต้องตรงจุดมากขึ้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และต้องมีหน่วยงานรับผิดชอบ ซึ่งรัฐบาลได้นำบทเรียนหรือวิธีช่วยเหลือผ่านโครงการคนละครึ่ง เราชนะที่มีการกำหนดเงื่อนไขในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ มาเป็นบทเรียน
ด้านแหล่งข่าวจากผู้ประกอบการธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน กล่าวว่า กรณีที่ภาครัฐขอความร่วมมือให้ 6 โรงกลั่นน้ำมัน ประกอบด้วย บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ,บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ,บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ,บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ,บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO และบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC เร่งสรุปแนวทางนำส่งเงินกำไรส่วนหนึ่งจากค่าการกลั่นเข้าสู่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงวิกฤตน้ำมันแพงนั้น ขณะนี้ทั้ง 6 โรงกลั่นยังอยู่ระหว่างการพูดคุยกับหน่วยงานภาครัฐ ถึงแนวทางดำเนินการเพื่อหาทางออกที่ดีร่วมกัน
ทั้งนี้ เบื้องต้น มองว่า ภาครัฐควรจะต้องออกระเบียบ กติกา หรือ ข้อกฎหมายขึ้นมารองรับการดำเนินให้เกิดความชัดเจน และตอบข้อสงสัยของทุกฝ่ายได้ เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหา หรือปัญหาฟ้องร้องตามหลัง ขณะเดียวกัน การเก็บส่วนต่างจากกำไรค่าการกลั่น อาจใช้กฎหมาย พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันฯ เข้ามาดำเนินการได้ แต่ต้องรอให้คณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาข้อกฎหมายต่างๆให้ถี่ถ้วน และน่าจะต้องมีการออกกฎหมายลูกขึ้นมารองรับด้วย ซึ่งก็น่าจะใช้เวลาดำเนินการสักระยะ ดังนั้น ตามแผนเดิมที่ภาครัฐต้องการให้ทั้ง 6 โรงกลั่น เริ่มดำเนินการจัดส่งส่วนต่างค่าการกลั่นเข้าสู่กองทุนน้ำมันฯ 3 เดือน เรื่องตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย.นั้น ก็อาจจะต้องขยับระยะเวลาดำเนินการออกไปจนกว่า การพิจารณาข้อกฎหมายต่างๆเพื่อมารองรับการดำเนินการจะแล้วเสร็จ
ส่วนหลักเกณฑ์การเก็บเงินจากส่วนต่างกำไรของค่าการกลั่นเข้าสู่กองทุนน้ำมันฯจะเป็นเท่าไหร่นั้น ยังต้องเจรจาร่วมกัน เพราะขณะนี้ ธุรกิจโรงกลั่น ต้องเผชิญกับความเสี่ยง จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้น และเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งการอ่อนค่าของเงินบาท ราว 1 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จะกระทบต่อต้นทุนราคาประมาณ 20 สตางค์ต่อลิตร ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ(GDP)ประเทศ ปีนี้ อาจไม่ถึง 2.5-3% ตามที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ตาม การดูแลผลกระทบจากราคาน้ำมันไม่ให้ปรับสูงขึ้นจนเกินไปก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องดำเนินการเพื่อพยุงการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ด้วยเช่นกัน
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี