นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยถึงวิกฤตความสัมพันธ์สามเส้า จีน ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา ว่า จะส่งผลกระทบและพลิกผันธุรกิจอุตสาหกรรมชิพ เซมิคอนดักเตอร์ ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ของโลก ซึ่งบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company-TSMC เป็นบริษัทผู้ผลิตและออกแบบสัญญาจ้างเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ข้ามชาติสัญชาติไต้หวัน เป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก โรงหล่อเซมิคอนดักเตอร์อิสระที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน มีสัดส่วน 54% ในตลาดโลก มีโรงงานการผลิตส่วนหนึ่งอยู่ในจีน หากความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวันย่ำแย่ลงอีก คาดว่าจะมีการลงทุน บางส่วนย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียน
โดยมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจล่าสุดของจีน ที่เริ่มแบนสินค้าหลายอย่างจากไต้หวัน เช่น สินค้าประเภทอาหาร ผลไม้ และสินค้าจากการประมงแต่กลับไม่แตะต้องธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์เลย ปัญหาชิพและเซมิคอนดักเตอร์ขาดแคลนที่ดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2563 อยู่แล้ว จากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซ้ำด้วยการระบาดของ COVID-19 จนโรงงานหลายแห่งต้องปิดตัวลงจาการล็อกดาวน์ จนถึงตอนนี้แม้สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่ฟื้นตัวเท่าไหร่นัก
รายงานของ TrendForce (บริษัทวิจัยการตลาดชั้นนำของโลก) ที่เปิดเผยออกมาเมื่อปี 2564 บริษัทในไต้หวันครองส่วนแบ่งตลาด
เซมิคอนดักเตอร์ รวม 63% และมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 66% ในปี 2565 โดยมี TSMC ครองส่วนแบ่งถึง 54% ของทั้งโลก ส่วนอันดับรองลงมาคือเกาหลีใต้ 18% ซึ่ง 17% มาจาก Samsung หากปัญหาวิกฤตความสัมพันธ์บานปลายกลายเป็นภาวะสงครามในช่องแคบไต้หวัน ย่อมทำให้สินค้าไอทีมีโอกาสสูงที่จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการที่ชิพ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ อาจหายไปค่อนหนึ่งของกำลังการผลิตทั่วโลก
ทั้งนี้การสนับสนุนนโยบายจีนเดียวเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับไทยในขณะนี้และไทยควรรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การศึกษาและวัฒนธรรมกับไต้หวันเอาไว้ในขณะเดียวกัน เพื่อประโยชน์ของไทย โดยหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ทางการเมืองหรือความสัมพันธ์ใดๆที่ละเมิดต่อหลักการจีนเดียว ซึ่งรัฐบาลไทยได้ยึดถือมาอย่างต่อเนื่อง การละเมิดต่อหลักการดังกล่าวอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้