นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กรณีที่ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 16 ปี โดยแตะทะลุ 37 บาทกว่าต่อดอลลาร์สหรัฐนั้น สะท้อนว่ามีเงินทุนไหลออก เพียงแต่เป็นการไหลออกจากการลงทุนจากตลาดทุนและตลาดเงิน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากสหรัฐมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อต้องการสกัดเงินเฟ้อ ในขณะเดียวกัน ความต่างของดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนี้ ยังดึงดูดเม็ดเงินจากประเทศต่างๆ ให้ไหลเข้าสหรัฐ ทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงนี้ก็ยังถือว่าไม่อ่อนเกินไปหากเทียบกับหลายๆ ประเทศและไทยก็ไม่ได้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันเท่าไรนัก เพราะประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ก็มีการอ่อนค่าลงเช่นกัน แต่ทั้งนี้ ต้องจับตามองความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)อย่างใกล้ชิด เพราะยังมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้และคาดว่าดอกเบี้ยจะขึ้นไปถึงประมาณ 4.5% ซึ่งจะกดดันให้ค่าเงินของประเทศต่างๆ อ่อนค่าลงอีก รวมถึงประเทศไทยด้วย
นายสนั่นกล่าวอีกว่าแม้ว่าทิศทางของเฟด จะยังขยับดอกเบี้ยขึ้นไปอีกประมาณ 1.25% ในปีนี้ แต่ประเทศไทยก็ยังมีการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่เหลืออีก 2 ครั้งเช่นกัน คือในเดือนกันยายนและพฤศจิกายน ซึ่งคาดว่าจะมีการขยับดอกเบี้ยขึ้นประมาณ 0.5% แน่นอนว่าภาคเอกชนและประชาชนจะต้องมีการปรับตัว เพราะเมื่อเศรษฐกิจในประเทศเริ่มดีขึ้นแล้ว ก็จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยตามมา ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เองก็สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยนี้เป็นเครื่องมือควบคุมไม่ให้บาทอ่อนจนเกินไปเชื่อว่าปลายไตรมาสที่ 4 ค่าเงินบาทจะเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ในกรอบ 36.5-37.0 บาท
“ค่าเงินบาทในขณะนี้ยังเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาดแต่ก็ทำต้นทุนการนำเข้าจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีก ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต ภาคเอกชนต้องหาวิธีบริหารจัดการกับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ในขณะที่ราคาน้ำมันยังทรงตัวประมาณ 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จึงไม่สร้างแรงกดดันมากนัก และภาคเอกชนมองว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมในระยะปานกลาง ควรอยู่ในระดับ 35-36 บาท ซึ่งจะเป็นระดับที่ดีต่อการส่งออก และไม่ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าเพิ่มมากเกินไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินไม่ให้มีความผันผวน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ” นายสนั่น กล่าว
อย่างไรก็ตาม หอการค้าไทยมองว่า แม้ว่าค่าเงินบาทที่อ่อนจะกระทบต่อภาคการนำเข้า แต่กลับเป็นโอกาสดีของประเทศไทยในเรื่องการลงทุนจากต่างชาติ ในขณะเดียวกัน ภาคการส่งออก ภาคเกษตร และภาคการท่องเที่ยว จะได้รับอานิสงส์ที่ดีจากสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากยุโรปที่หนีอากาศหนาวมาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งในช่วงปลายปีรัฐบาลจีนอาจจะเริ่มผ่อนคลายให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกนอกประเทศได้มากขึ้น นอกจากโครงการเราเที่ยวด้วยกันที่จะใช้ได้จนถึงปลายเดือนตุลาคมจะช่วยการท่องเที่ยวของคนไทยเพิ่มขึ้น รวมทั้งการผ่อนคลายเรื่องโควิดที่มากขึ้นในบ้านเรา เชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีน่าจะถึง 10 ล้านคนหรืออาจมากถึง 12 ล้านคน จึงมองว่า ผลกระทบจากค่าเงินบาทที่อ่อนนั้น โดยสุทธิแล้วจะยังเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย เชื่อว่า GDP ไทยในปีนี้จะยังเติบโตได้ 2.75-3.50% ตามกรอบที่ภาคเอกชนได้คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศก็เป็นสิ่งที่เราต้องเร่งดำเนินการ เพื่อแข่งขันกับเวียดนาม ที่ขณะนี้เป็นที่สนใจของต่างชาติอย่างมาก ดังนั้น เราต้องมีนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนของต่างชาติ เพื่อเป็นปัจจัยในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยคนไทยจะได้ประโยชน์ทั้งในด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยีรวมไปถึงการจ้างงาน เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งหากมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามา 1 ล้านคนจะทำให้มีเงินหมุนเวียนจากการจับจ่ายใช้สอยประมาณ 5-6 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งช่วยกระตุ้น GDP ได้ประมาณ 2-3%
“ที่ผ่านมาภาคธุรกิจเผชิญกับต้นทุนทางธุรกิจที่สูงขึ้นหลายๆ เรื่อง อาทิ ราคาพลังงาน วัตถุดิบ ค่าจ้างแรงงาน รวมไปถึงปัญหาเงินเฟ้อ ช่วงเวลาต่อจากนี้ อาจจะต้องเตรียมใจรับดอกเบี้ยขาขึ้นเพิ่มเติม และต้นทุนทางธุรกิจต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นนี้ อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs ในเรื่องสภาพคล่อง ดังนั้น หอการค้าไทยจะร่วมมือกับรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยให้กลุ่ม SMEs นี้ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เข้าถึงสินเชื่อด้วยดอกเบี้ยที่ผ่อนปรนมากขึ้น” นายสนั่น กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี