นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) (NER) เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2566 โดยมองว่า เศรษฐกิจปีหน้ายังมีปัจจัยที่จะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะปัญหาจากราคาพลังงาน ซึ่งถ้าน้ำมันแพงขึ้นก็อาจจะมีผลกระทบที่อาจทำให้การใช้จ่ายลดลง เงินเฟ้อมากขึ้น ส่วนดอกเบี้ยก็คาดว่าอาจจะมีการขยับตัวขึ้นบ้าง แต่เรื่องดอกเบี้ยกระทบกับบริษัทไม่มากนัก เพราะได้ออกหุ้นกู้ไว้แล้ว 1.7 พันล้านบาททำให้ล็อกค่าใช้จ่ายของดอกเบี้ยไว้อยู่ในระดับ 6.5%
“จีนซึ่งเป็นลูกค้าโดยตรง และมีข่าวดีว่าจีนได้มีการผ่อนคลายมาตรการหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดมีแนวโน้มลดลง โดยในปัจจุบันบริษัทได้มีการส่งมอบสินค้าได้เป็นปกติไม่ได้ลดลง ซึ่งมองว่าเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นก็จะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นตามไปด้วย ส่วนสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ คือ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนั้น ยังไม่สามารถระบุได้ว่าในปีหน้าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากอัตราดอกเบี้ยที่มีการปรับตัวขึ้นในปัจจุบันไม่ได้มีผลกระทบกับบริษัท”
ในส่วนของการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทมีแผนในการขยายต่างประเทศ โดยจะเจาะกลุ่มลูกค้าในอินเดีย มากขึ้น และบริษัทมีการเซ็นสัญญากับกลุ่มลูกค้าใหม่ เพิ่มขึ้นอีก 5 ราย ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าในปีหน้าจะมียอดขายจากอินเดีย 50,000 ตัน หรือคิดเป็น 10% ของกำลังการผลิต ในส่วนของด้านการขาย ในปัจจุบันบริษัทมีการจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้าในหลากหลายประเทศ ประกอบด้วย ไทย อินเดีย ญี่ปุ่น และจีน ทั้งนี้บริษัทได้มีการเจรจากับลูกค้ารายใหม่จาก อินเดีย และญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น รวมถึงยังคงมองหาโอกาสในการบุกตลาดใหม่ในทวีปยุโรป อีกด้วย นอกจากนี้บริษัทได้วางงบลงทุนไว้ที่ 400 ล้านบาท แบ่งเป็น งบวิจัยและพัฒนา 300 ล้านบาท และงบปรับปรุงและพัฒนาเพิ่มกำลังการผลิต 100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามปีหน้าคาดว่าบริษัทจะสามารถทำยอดขายนิวไฮได้อีกครั้งเนื่องจากได้มีการเพิ่มเตาอบเพิ่มอีก 1 เตา ปัจจุบันบริษัทกำลังการผลิตสำหรับยางแท่งประมาณ 340,000 ตันต่อปี ปีหน้าได้อีกประมาณ 50,000 ตัน ก็จะรวม 390,000 ตันต่อปี ส่วนยางแผ่น 60,000 ตันต่อปี ยางแผนผสม 60,000 ตันต่อปี ซึ่งจะส่งผลให้ในปีนี้จะมีกำลังการผลิตรวม 510,000 ตันต่อปี และในเดือนเมษายน ปีหน้าบริษัทมีแผนปรับปรุงการผลิต ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 560,000 ตันต่อปี เพื่อรองรับตลาดอินเดียที่จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าปริมาณการขายที่ 500,000 ตัน และ ตั้งเป้ามีรายได้อยู่ที่ 30,000 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากขายอยู่ประมาณ 25,000 ล้านบาท เทียบจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้จากการอยู่ที่ 24,000 ล้านบาท ซึ่งปกติไตรมาส 4 เป็นช่วงเวลที่มียอดขายมากที่สุด ปัจจุบันบริษัทมี มาร์จิน (ความสามารถในการทำกำไร) ของยางปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 7-7.5% และ D/E อยู่ที่ประมาณ 1.7 เท่า
นายชูวิทย์ เพิ่มเติมถึงภาพรวม ราคายาง ว่า ในช่วงไตรมาส 2-3 มีการขยับตัวเพิ่มขึ้นมามากอย่างไรก็ตามการที่ราคายางมีการขยับตัวเพิ่มขึ้นลงนั้น ยังไม่มีผลทันที เนื่องจากบริษัทจะมีการขายล่วงหน้า 3-4 เดือน ซึ่งราคาที่มีการขยับตัวนั้นจะไปสะท้อนในช่วงข้างหน้า อย่างเช่นรายได้ของไตรมาส 4 จะเป็นสินค้าที่มีการขายในช่วงไตรมาส 2-3 ในส่วนของทิศทางราคายางในปี 2566ถ้าเป็นยางแผ่น คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 60-65 บาท ซึ่งราคาทรงตัวเท่ากับในปีนี้ ส่วนยางแท่ง อยู่ที่ประมาณ 50-55 บาท จากในปี 2565 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 52-53 บาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี