นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) แจ้งว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม (DTI) ฟิลิปปินส์ ได้ประกาศผลการพิจารณาไม่ขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้น หรือมาตรการเซฟการ์ด (Safeguard Measure) ซึ่งมีกำหนดสิ้นการบังคับใช้เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2565 การพิจารณาไม่ต่ออายุมาตรการในครั้งนี้ส่งผลให้สินค้าปูนซีเมนต์ที่ส่งออกจากไทยไปฟิลิปปินส์ปลอดจากภาระอากรเซฟการ์ด
ฟิลิปปินส์ได้ประกาศใช้มาตรการเซฟการ์ดกับสินค้าปูนซีเมนต์ที่นำเข้าจากทั่วโลกตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2565 โดยเรียกเก็บอากรเซฟการ์ดในอัตรา 250 เปโซต่อตัน ในปีแรกที่ใช้มาตรการฯและลดลงมาอยู่ที่ 245 และ 200 เปโซต่อตันในปีที่ 2 และ 3 ตามลำดับ และเมื่อวันที่ 24กุมภาพันธ์ 2565 คณะกรรมาธิการภาษีฟิลิปปินส์ได้เปิดไต่สวนเพื่อต่ออายุมาตรการปกป้องออกไปซึ่งฟิลิปปินส์สามารถใช้มาตรการดังกล่าวกับสินค้าปูนซีเมนต์ต่อไปได้อีก 7 ปี อย่างไรก็ดี กรมฯได้โต้แย้งหน่วยงานไต่สวนฟิลิปปินส์ไม่ให้มีการต่ออายุมาตรการ โดยเน้นย้ำว่ามาตรการปกป้องจะต้องนำมาใช้เท่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันหรือเยียวยาความเสียหายของอุตสาหกรรมภายในเท่านั้น และปรากฏข้อเท็จจริงว่าสถานการณ์ของอุตสาหกรรมภายในของฟิลิปปินส์ดีขึ้นแล้ว ซึ่งในที่สุด DTI ได้ประกาศว่าไม่พบความเสียหายที่เกิดแก่อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในฟิลิปปินส์ จึงมีคำวินิจฉัยไม่ต่ออายุมาตรการดังกล่าว
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ไทยมีปริมาณการผลิตปูนซีเมนต์อยู่ที่ 20.56 ล้านตัน โดยจำหน่ายภายในประเทศ 18.39 ล้านตัน และส่งออก 1.67 ล้านตัน มีมูลค่า 3,330 ล้านบาท ตลาดส่งออกสำคัญได้แก่ เมียนมา ลาว และกัมพูชา โดยแทบไม่มีการส่งออกไปฟิลิปปินส์เนื่องจากมีการใช้มาตรการเซฟการ์ด ดังนั้น การยุติมาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้การส่งออกไปยังตลาดฟิลิปปินส์กลับมา เนื่องจากฟิลิปปินส์ถือเป็นตลาดศักยภาพ มีปริมาณนำเข้าอยู่ที่ปีละประมาณ 4 ล้านตัน และมากกว่า 90% เป็นการนำเข้าจากเวียดนาม นอกจากนี้ ยังเป็นไปได้ว่าในปีหน้าฟิลิปปินส์มีแนวโน้มนำเข้าปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม ดังนั้น เมื่อสินค้าปูนซีเมนต์จากไทยปลอดอากรเซฟการ์ดจึงเป็นการสร้างโอกาสแก่ผู้ส่งออกไทยในการขยายตลาดไปยังฟิลิปปินส์ได้เพิ่มขึ้น
“มาตรการเซฟการ์ดเป็นมาตรการที่ประเทศผู้นำเข้ากำหนดขึ้นเพื่อใช้คุ้มครองอุตสาหกรรมภายในที่ได้รับหรือมีแนวโน้มที่จะได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ โดยมีผลบังคับใช้กับทุกประเทศ คต. ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบแก้ต่างเมื่อถูกประเทศคู่ค้าไต่สวน จะทำการประสานกับผู้ส่งออกและหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ เพื่อกำหนดกลยุทธ์และแนวทางการแก้ต่าง และยกประเด็นต่อสู้ตามกระบวนการในแต่ละขั้นตอนของการไต่สวน พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและแจ้งข้อมูล ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อกองปกป้องและตอบโต้ทางการค้า กรมการค้าต่างประเทศ ผ่านทางเว็บไซต์ https://www.thaitr.go.th”นายรณรงค์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี