นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า ปี 2566 เอสซีจี ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายเติบโต 10% โดยคาดว่าจะมีรายได้จากเอสซีจี เคมิคอลส์ เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจาก โครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ที่ประเทศเวียดนามล่าสุดมีความคืบหน้าแล้วกว่า 98% พร้อมเดินเครื่องผลิตสินค้าเข้าสู่ตลาดช่วงกลางปีนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของยอดขายรวม แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับทิศทางราคาสินค้าตลาดโลกอีกครั้ง โดยปีนี้มีแผนลงทุนในโครงการที่จำเป็นภายใต้งบลงทุน 40,000-50,000 ล้านบาท จากปีก่อน 50,000 กว่าล้านบาท
สำหรับผลประกอบการของเอสซีจี ปี 2565 มีกำไร 21,382 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 55% มีรายได้ 569,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว วัฏจักรปิโตรเคมีขาลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี ต้นทุนพลังงานสูงทั้งถ่านหินและค่าไฟฟ้าสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลจากวิกฤตซ้อนวิกฤต ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เกิดปัญหาเงินเฟ้อ ค่าเงินบาทผันผวน เศรษฐกิจจีนชะลอตัว
“ยอมรับปี 2565 กำไรลดลงอย่างมาก ต่ำสุดในรอบ 14-15 ปี นับจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ แม้เอสซีจีจะปรับตัวลดต้นทุนไปมากแล้ว ก็ยอมรับวิกฤตครั้งนี้แรงจริงๆ ไม่ใช่เฉพาะวิกฤตพลังงานสูงอย่างเดียว แต่มีความต้องการสินค้าลดลงจากวิกฤตโควิด-19 ด้วย ทำให้ผู้ผลิตภาคส่วนต่างๆต้องลดกำลังการผลิตลงตาม กระทบทั้งซัพพลายเชนรวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เห็นได้จากรัฐบาลหลายประเทศปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหลังโควิดคลี่คลาย หลายประเทศเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไม่สามารถต้านได้ ซึ่งมองว่าธุรกิจอื่นก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน เอสซีจีจึงต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ และคำนึงถึงผลตอบแทนที่คุ้มค่า”นายรุ่งโรจน์ กล่าว
ทั้งนี้ หากพิจารณาเป็นรายธุรกิจปี 2565 พบว่าธุรกิจเคมีคอลส์ มีรายได้จากการขาย 236,587 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 1% มีกำไร 5,901 ล้านบาท ลดลง 80% เนื่องจากปริมาณขายสินค้าลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายสินค้าปรับตัวลดลงตามไปด้วย ทำให้ไตรมาส 4/2565 ขาดทุน 1,052 ล้านบาท เพราะรายได้จากการขายที่ 43,285 ล้านบาท ลดลง 25%
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้ 204,594 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% มีกำไร 3,789 ล้านบาท ลดลง 11% จากกลยุทธ์การปรับราคาขายสินค้าส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและในภูมิภาค ส่งผลให้ไตรมาส 4/2565 ขาดทุน 717 ล้านบาท
ธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง ของบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP มีรายได้จากการขาย 146,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากการขยายธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ และการขยายกำลังการผลิต มีกำไร 5,801 ล้านบาท ลดลง30% จากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น และการหดตัวของปริมาณการขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ท่ามกลางอุปสงค์ที่ลดลงทั่วโลก
นายรุ่งโรจน์กล่าวว่า ในส่วนของผลประกอบการไตรมาส 4/2565 เอสซีจี มีกำไรสำหรับงวด 157 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 94% มีรายได้จากการขาย 122,190 ล้านบาท ลดลง 14% จากส่วนต่างราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงต้นทุนพลังงานทั้งถ่านหินและค่าไฟที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก หากไม่รวมการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ รายการด้อยค่าสินทรัพย์ และรายการอื่นจะมีกำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 1,070 ล้านบาท ลดลง 66%
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี