นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 27 มีนาคม 2566 เมื่อเวลา 15.29 น. ได้เกิดพีคไฟฟ้าของปี 2566 ขึ้น โดยมียอดการใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงที่ระดับ 31,054 เมกะวัตต์ เนื่องจากสภาพอากาศร้อนที่ร้อนสูงสุดระดับ 38-41องศา รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นจากภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริการทำให้ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ซึ่ง สนพ. ประเมินว่าช่วงหน้าร้อนปีนี้อาจจะเกิดพีคไฟฟ้าทำลายสถิติของปี 2565 ในระบบ 3 การไฟฟ้าได้ โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 34,000 เมกะวัตต์ซึ่งปี 2565 อยู่ที่ 33,177 เมกะวัตต์
“การเกิดพีคไฟฟ้าที่จะทำสถิติใหม่นั้นมั่นใจจะไม่เกิดปัญหาไฟฟ้าตกหรือดับอย่างแน่นอน เนื่องจากปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ผลิตไฟฟ้ามีเพียงพอ โดยจากรายงานของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ พบว่าในช่วงกรกฎาคมนี้ ก๊าซในอ่าวไทยจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ในการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ของบริษัท ปตท. ได้มีการเตรียมความพร้อมในการจัดหาเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงดังกล่าวแล้ว อีกทั้งสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลกดีขึ้นโดยเฉพาะ LNG แบบ Spot ที่มีการปรับตัวลงอยู่ 12-13 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับราคา LNG แบบ Spot ของปีที่แล้วจะอยู่ที่ 30-40 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู และประเทศยังมีปริมาณสำรองการผลิตไฟฟ้าในระบบกว่า 30% จากปกติที่ต้องมีประมาณ 15% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด” นายวัฒนพงษ์กล่าว
สำหรับสถานการณ์พลังงานในปี 2565 มีการใช้พลังงานขั้นต้น อยู่ที่ระดับ 1,990 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ลดลงเล็กน้อยเพียง 0.1%เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเป็นการลดลงจากการใช้ก๊าซธรรมชาติ 9.6% และสำหรับการใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์ ลดลง 9.1% ในส่วนของการใช้ในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากราคาถ่านหินปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 14.9% เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติเพิ่มมากขึ้น ขณะที่การใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้าเพิ่มขึ้น 11.1% ตามปริมาณฝนและน้ำในเขื่อน รวมทั้งการนำเข้าไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)
นายวัฒนพงษ์กล่าวว่า สนพ. ได้มีคาดการณ์ “แนวโน้มการใช้พลังงานปี 2566” โดยอ้างอิงสมมุติฐานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าภาพรวมการใช้พลังงานในปี 2566 จะเพิ่มขึ้น2.8% อยู่ที่ระดับ 2,047พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน การใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน/ลิกไนต์ จะเพิ่มขึ้น 0.7%จากการใช้ถ่านหินนำเข้าที่เพิ่มขึ้น
สำหรับการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้น 4.6% โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลล์ และน้ำมันเครื่องบิน จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวภายในประเทศ และแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินจากต่างประเทศ การใช้ก๊าซธรรมชาติ จะเพิ่มขึ้น1.8% การใช้ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้าจะเพิ่มขึ้น 4.4% สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งความต้องการการเดินทางภายในประเทศและการเดินทางระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ สศช. ได้คาดว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2566 จะอยู่ที่ 80-90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนในปี 2566 จะอยู่ที่ 32.2-33.2บาทต่อเหรียญสหรัฐ และคาดการณ์แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2566 จะขยายตัว 2.6% และเศรษฐกิจภายในประเทศ (GDP) ปี 2566 จะขยายตัวในช่วง 2.7-3.7% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจากฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ การอุปโภค-บริโภคภายในประเทศ และภาคการเกษตร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี