ล้มได้ก็ลุกเป็น ‘นิน เพชรพัณณิน’กีฬา การเมือง ชีวิต ความรัก

เพชรพัณณิน พากฤตโยธิน

อีกหนึ่งนักการเมืองหญิงรุ่นใหม่ตัวจริงด้านยุทธศาสตร์การเมือง ที่น่าจับตา

วันนี้เรามาพูดคุยในแง่มุมต่างๆ ผ่าน 10 คำถาม 10 มุมมอง

หลายคนรู้จักนินในฐานะประธานสโมสรฟุตบอล นักการเมือง นักธุรกิจ นักกิจกรรม และในนามของหลานสาวของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานองคมนตรี ไม่ว่าคุณจะรู้จักเธอคนนี้แบบไหน แต่วันนี้เราจะพามาเจาะลึกมุมมองที่ต่างออกไป

ผู้หญิงเก่งคนนี้เติบโตจากการเป็นประธานสโมสรฟุตบอลและก้าวสู่เส้นทางการเมือง เราสืบทราบมาว่าในการสร้างทีมฟุตบอล เธอใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวทั้งหมด ไม่เคยขอรับบริจาคเงินจากองค์กรภายนอกเลยตลอด 8 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงการมีศักยภาพ ความเสียสละ และความตั้งใจจริง โดยการสร้างทีมฟุตบอล มีจุดประสงค์เพื่อใช้กีฬาพัฒนาเยาวชน ปั้นนักกีฬาสู่นักเตะอาชีพและต่อยอดการศึกษาให้กับเยาวชน นินมีผลงานที่ประสบความสำเร็จค่อนข้างสูงทั้งงานการเมืองและกีฬา ที่สำคัญเธอมีแนวคิดที่ดี วางตัวดี ด้วยประสบการณ์จึงนำพาเธอคนนี้จาก "สนามกีฬา"สู่ "สนามการเมือง" ในปัจจุบันนินมีกระแสนิยมมากขึ้นจนกลายเป็นที่จับตามองโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้

1.ตลอดชีวิตที่ผ่านมานินเชื่อในอะไร :

นิน เชื่อในคำสอนของคุณพ่อคุณแม่ค่ะ จริงอยู่ว่าคำสอนของพวกท่านอาจจะไม่ถูกต้องที่สุด หรือดีที่สุด แต่เพราะคำสอนที่ท่านสอนเรา มันเกิดจากความรักและการอยากปกป้องที่พ่อแม่มีต่อเราค่ะ ซึ่งคุณพ่อและคุณแม่จะสอนกันคนละด้านคนละมุมมอง

คุณพ่อจะสอนในแบบผู้บริหารสอนลูก แต่ก็จะมีความเป็นพ่อในแบบที่เรียบง่ายแต่มั่นคง ใช้เหตุผลเป็นหลัก สอนให้คิดเป็นขั้นเป็นตอน คิดในหลายมุม ไม่ปิดกั้นการเรียนรู้

ส่วนคุณแม่จะสอนในเรื่องของความคิด การใช้ชีวิตเป็นส่วนใหญ่ สอนในแบบของผู้หญิง ในสิ่งที่ผู้หญิงจำเป็นต้องเรียนรู้ เป็นคนที่สื่อสารตรงไปตรงมา

แต่ทั้งหมดที่ท่านทั้งสองคนสอนล้วนแล้วแต่เป็นการปฏิบัติให้เห็นจริง ไม่ใช่การพูดแบบเลื่อนลอย เน้นทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแสดงออกจากการกระทำ มากกว่าจะพูดแล้วปล่อยผ่านไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คำสอนของท่านทั้งสองจะอยู่บนพื้นฐานของความดี ความจริง สัจธรรมของชีวิต เป็นสิ่งที่จับต้องได้ เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน และส่งผลที่ดีจริงๆ อีกอย่างคำสอนของคุณพ่อคุณแม่มันจะอยู่กับเราตลอดไปถึงแม้วันนึงเขาจะไม่อยู่กับเราแล้วก็ตามค่ะ มันเลยเป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ และเป็นสิ่งที่นินเชื่อและยึดถือมาตลอดค่ะ ถึงแม้จะทำได้ไม่ดีเท่ากับที่ท่านสอนแต่มันคือแสงสว่างนำทางที่ดีมากในระดับหนึ่งเลย

2. ถ้ามีคนเห็นต่างและตั้งคำถามกับคุณว่าทำไมประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตยด้วย ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว คุณจะตอบยังไง :

ประชาธิปไตยควบคู่กับการเห็นต่างอยู่แล้วค่ะ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ทุกคนในประเทศจะคิดเหมือนกัน แต่นั่นไม่ได้แปลว่าทุกความแตกต่าง จะต้องเกิดความไม่สงบหรือทะเลาะกัน ประชาธิปไตยเป็นกลไกการตัดสินใจที่ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมโดยคำนึงถึงผลประโยชน์และความคิดเห็นของประชาชนทุกคนเป็นหลัก ประชาธิปไตยเคารพในความเสมอภาค ไม่ใช่การยอมรับให้ผู้รู้ดีเพียงคนหนึ่งคนใด มาตัดสินใจแทนทุกคน การมีประชาธิปไตยคือการเห็นคุณค่าความคิดของประชาชน คือการมองเห็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ และก็ยังให้ความเคารพต่อเสียงส่วนน้อย เพื่อให้ประเทศพัฒนาไปข้างหน้าจากการที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจค่ะ

3. ทำไมถึงคิดว่ากีฬาสามารถเปลี่ยนชีวิตคนให้ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะกับเยาวชน :

กีฬาเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนค่ะ เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งการเจริญเติบโตทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ช่วยพัฒนาทักษะด้านต่างๆ มากมาย เด็กแต่ละคนมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป เด็กบางคนไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่ดีพอ เพราะสังคมเรามีความเลื่อมล้ำ หากเรามีหนทางที่สามารถให้เด็กได้แสดงออกถึงศักยภาพที่เขามี มันก็คือสิ่งดีๆที่เราควรหยิบยื่นให้เขาค่ะ กีฬาสามารถช่วยผลักดันให้เด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาได้มาก เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่เจอปัญหา หรือเรียนไม่เก่งและต้องถูกผลักออกจากระบบการศึกษา กีฬายังเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และสร้างเส้นทางเดินใหม่ให้เขาได้ค่ะ

4.ระบบการศึกษาไทยในความคิดที่ควรจะเป็น อยากเห็นระบบการศึกษาเป็นแบบไหน :

เราต้องการพลิกแนวคิดเรื่องการศึกษาค่ะ สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กมีเสรีภาพในการเรียนรู้อย่างเสมอภาคและหลากหลาย เคารพในความคิด ความชอบ ไม่ปิดกั้นสิ่งที่เด็กควรจะได้เรียนรู้ การศึกษาที่ดีคือการศึกษาที่ทุกคนเข้าถึงได้ไม่เหลื่อมล้ำ การศึกษาที่มีคุณภาพ ส่งเสริมทักษะที่จำเป็นต่ออนาคตและการใช้ชีวิต การศึกษาที่ดี ที่มีคุณภาพ ต้องปรับปรุงหลักสูตรเพื่อสร้างคนให้ทันโลกและเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในอนาคตได้จริง ทุกคนต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีระบบการศึกษาควรเป็นระบบที่ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้ทันโลกยุคใหม่อยู่เสมอ เน้นพัฒนาที่ตัวผู้เรียนเป็นหลัก และลดภาระที่ไม่จำเป็นของผู้สอน เพื่อให้มีศักยภาพเต็มที่ในการส่งต่อความรู้ให้กับเด็กค่ะ

5. ทราบมาว่าก่อนหน้านี้ชีวิตนินเจอปัญหาหนัก ทั้งเรื่องธุรกิจ ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว อะไรที่เป็นจุดเปลี่ยน ทำให้กลับมายืนได้อีกครั้ง :

ใช่ค่ะ นินเจอปัญหาและบทเรียนชีวิตที่หนักมาก ชีวิตในตอนนั้นจมอยู่กับปัญหา เสียใจร้องไห้หนักเลยค่ะ เพราะขาดสติ นินมองแค่ในมุมของปัญหา มองแค่ในมุมของตัวเองและหลงลืมความเป็นตัวเอง มองข้ามศักยภาพดีๆที่ตัวเองมี ลืมบทบาทหน้าที่ ที่สำคัญไป ลืมว่าเรามีชีวิตเพื่ออะไรเพื่อใคร มีความกลัวเกิดขึ้นในใจมากมาย

แต่ที่แปลกคือ จุดเปลี่ยนที่ทำให้ลุกขึ้นมาสู้และพลิกชีวิตใหม่ คือความสูญเสีย ความเสียใจ และการถูกทิ้งค่ะ เวลาผ่านไปก็ทำให้ตกตะกอนความคิด ทำให้เป็นจุดเปลี่ยนความคิดครั้งสำคัญ ถ้าเปรียบก็คงเหมือนกับเราถูกกระชากวิญญานให้กลับเข้าร่างเลยก็ว่าได้ค่ะ เมื่อความคิดเปลี่ยนไปในเชิงบวก มีพลังใจ พลังกาย ชีวิตก็เปลี่ยนตาม นินเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง วางแผนชีวิตและแนวคิดใหม่ ไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา ใช้สติและความใจเย็นในการแก้ปัญหา

ที่สำคัญคือนินมีพลังใจที่ดีในการขับเคลื่อนชีวิตเพราะมีลูกๆและโอ พงศกร คนที่เป็นทั้งน้องชายเป็นเพื่อนคู่คิดที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ ผู้ชายที่ไม่ว่าชีวิตนินจะแย่แค่ไหนก็ไม่เคยทิ้งนินให้เผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง ครอบครัวก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มีกำลังใจ รวมถึงกำลังใจดีๆจากเพื่อนพี่น้องที่มีในชีวิต ผู้คนที่เราพบเจอ เพื่อนสมัยเรียน เพื่อนที่เคยร่วมงาน พี่ๆน้องๆตำรวจวัง

นินปล่อยวางและยอมรับความจริง พยายามพาตัวเองออกไปเรียนรู้ ไปพบปะผู้คน ใช้ชีวิตให้มีความสุข สนุก เปิดใจในหลายๆอย่าง เป็นตัวของตัวเอง และค่อยๆแก้ปัญหา จากปัญหาใหญ่ก็กลายเป็นเบาลง ความสุข ความสำเร็จก็เข้ามาแทนที่ คราบน้ำตาที่เคยมีเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม สำหรับนินทุกสิ่งที่เจอถือเป็นบทเรียนค่ะ ถ้าเราไม่เจอความทุกข์ ก็จะไม่มีเราที่เข้มแข็งในวันนี้ ทุกก้าวของเราจึงมีคุณค่าในชีวิตเราเสมอ เมื่อนินมองย้อนกลับไป ก็รู้สึกขอบคุณกับทุกอย่างที่สอนให้เราเป็นเราในตอนนี้ ที่เขาว่ากันว่าไม่เจอกับตัวคงไม่เข้าใจคำนี้ไม่เกินจริงค่ะ

6.คิดว่าการอยู่ในโลกของสังคมยุคนี้มันยากขึ้นไหมหรือจริงๆมันคือธรรมชาติของมนุษย์ไปแล้ว :

นินคิดว่าทุกวันนี้สิ่งที่เราอยู่กับมันคือ "ความคิด" หรือเรียกอีกแบบในยุคนี้คือ "คอนเทนต์" ซึ่งความคิดตรงนี้อาจจะแบ่งได้ 2 อย่าง คือสิ่งที่จับต้องได้และสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เมื่อเวลาที่เราคิด ธรรมชาติของสมองคนเรา มันจะไปเรื่อยค่ะ มันจะว้าวุ่น คำว่าอยู่กับปัจจุบันมันเลยสำคัญตรงที่ เราคิดเยอะเกินไปแล้วถ้าเกิดว่าเรา ไม่มีโอกาสได้อยู่กับสิ่งตรงหน้าเลย มันก็จะเหมือนกับความรู้สึก อารมณ์ของเรา ไม่เคยได้สัมผัส หรือเข้าใจลึกซึ้งในสิ่งที่เราเจอ เช่นไม่ได้สัมผัสรสชาติอาหารที่แท้จริง ไม่ได้มองดูความสวยงามของธรรมชาติอย่างตั้งใจ ไม่ได้เรียนรู้ข้อดีข้อเสียของคนข้างกายเพราะเรามัวแต่วิ่งไล่สิ่งที่อยู่ข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา เราให้ความสนใจโลกเสมือนจริงมากเกินไป ทั้งที่จริงๆสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันคือชีวิตจริง คนที่อยู่ตรงหน้า

คนที่อยู่ข้างกายคือความหมายที่แท้จริง ถ้าเราให้เวลาและความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าบ่อยๆ ชีวิตมันจะมีคุณค่า ถ้าหากเราละทิ้งจากความเป็นปัจจุบัน ชีวิตเราจะรู้สึกถึงความว่างเปล่าขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการทำความเข้าใจกับแนวคิดจุดนี้ก็สำคัญ จริงๆข้อนี้เป็นคำถามที่ดีเลยค่ะ

7.มุมมองความรักและประสบการณ์ความรักเป็นยังไง :

สำหรับนินความรักคือเรื่องดีค่ะ นินเองอาจจะเคยทำอะไรผิดพลาดหรือตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องความรัก ผ่านจุดที่ไม่ประสบความสำเร็จในด้านความรัก เจอบทเรียนกับความรักมาพอสมควร ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ จะดีหรือร้าย สุดท้ายแล้วความรักมีหลายมิติให้คิด ให้รู้สึก จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้สิ่งที่เรียกว่าความรักสำหรับนินมันแย่หรือเลวร้ายในความทรงจำเลยค่ะ เพราะเมื่อเราเข้าใจเรื่องราวที่เจอ เข้าใจความคิด เหตุผลและการกระทำของคนที่เรารักและตัวเราเอง เปิดใจมองในความเป็นจริง เราจะเข้าใจความรักมากขึ้น เราจะรู้ว่าความรักที่ดีควรเป็นยังไง บทเรียนที่ผ่านมาทำให้นินเข้าใจว่าหน้าที่คนรักที่ดีควรเป็นแบบไหน และใครคือคนที่เราควรรักษาให้ดีที่สุดสำหรับชีวิตเรา ใครที่จะอยู่ข้างกาย ร่วมรับผิดชอบความสุขความทุกข์ไปกับเรา ในชีวิตเรามีโอกาสเลือกผิด หรือเลือกแล้วมันยังไม่ใช่ก็แค่เลือกใหม่ ทำวันใหม่ให้ดีกว่าเดิม ไม่ต้องเสียเวลากับความเสียดาย ที่ไม่ได้ให้ประโยชน์กับเราแล้ว เราเดินหน้าต่อบนเส้นทางใหม่

สุดท้ายไม่ว่าในชีวิตเราจะเจอเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ในเรื่องของความรัก สิ่งที่จะทำให้เราผ่านทุกอย่าง คือการยอมรับสิ่งที่เจอ นินภูมิใจกับรอยแผลที่เกิดค่ะ ถึงมันจะเป็นแผลเป็น แต่มันก็คือรอยแผลเป็น ที่นินตั้งใจรัก นินเลือกเองตั้งแต่ต้น ถ้าย้อนเวลากลับไปนินก็ยังเลือกเหมือนเดิมค่ะ เมื่อเราผ่านได้ มันก็คือภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับตัวเราเอง มันจะทำให้เราเข้มแข็งจากข้างในจริงๆ ปัจจุบันสำหรับนิน นินอยากทำชีวิตตัวเองให้ดีและมีค่า เป็นนินในเวอร์ชั่นที่ดี การจะมีความรักที่ดีมันต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน เราต้องเข้าใจตัวเองก่อน รักตัวเองให้เป็น ถึงจะเป็นคนรักที่ดีให้คนอื่นได้ แล้วความรักที่ดี คนที่ดี คนที่จริงใจ คนที่พร้อมจะยอมรับและเข้าใจในตัวเรา คนที่พร้อมจะซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน เป็นพลังงานความสุขให้กัน คนที่พร้อมจะปรับแล้วจับมือเดินไปกับเราจะเข้ามาหาเราในช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมเองค่ะ

8.หลักการใช้ชีวิตของนินคืออะไร :

นินบอกตัวเองเสมอว่า เราไม่มีวันรู้อนาคตว่าเส้นทางข้างหน้าเราจะพบความสุขหรือความทุกข์ ดังนั้นการที่เราอยู่กับปัจจุบัน มันสำคัญมากค่ะ ทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด ทำช่วงเวลาของเราอย่างมีความหมาย อย่ากลัวการใช้ชีวิต อย่าไปกังวลสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะเราไม่ควรเสียช่วงเวลาดีๆในชีวิตไปเพียงเพราะความกลัว ยิ่งถ้าเราได้รับโอกาสดีๆ เราก็ควรใช้โอกาสที่ได้รับอย่างเต็มที่ ใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด แค่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่เบียดเบียนใครก็พอ คิดง่ายๆคือเราไม่ชอบให้คนอื่นทำแบบไหนกับเรา เราไม่ควรทำแบบนั้นกับคนอื่น รู้จักให้เกียรติคนที่อยู่ร่วมกับเราในสังคม จริงใจกับคนอื่น ชีวิตเราจะง่ายขึ้นด้วย

อย่าให้ความกลัวในการใช้ชีวิต การเจอผู้คนในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต ที่อาจจะมีมุมที่ไม่น่ารักไปบ้างมาเป็นตัวฉุดรั้งการเรียนรู้สิ่งต่างๆ อย่าไปคิดว่ามันต้องสมบูรณ์แบบเสมอไป มันเป็นไปไม่ได้ค่ะ คิดแค่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงให้ภูมิใจกับมันหากเราคิดว่าเราทำเต็มที่แล้ว จำไว้ว่าทุกสิ่งที่เราเลือกทำมีความหมายกับเราเสมอค่ะ

9.การวางตัวในฐานะนักธุรกิจ นักการเมือง หรือการใช้ชีวิตปัจจุบันมันสำคัญมากไหม :

การจะวางตัวอย่างไรมันเป็นเรื่องที่พูดยากค่ะ นินว่าแต่ละคนมีคาแรกเตอร์ของตัวเอง มีบทบาทในช่วงจังหวะชีวิตแตกต่างกันออกไป มันยากที่เราจะสร้างให้เราเป็นแบบไหน คนเราฝืนธรรมชาติได้ไม่นานค่ะ สำหรับนินคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เราจริงใจกับทุกอย่าง เป็นตัวของตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น มีความเป็นธรรมชาติในแบบของตัวเองมันทำให้เราและคนรอบข้างสบายใจที่สุดค่ะ สุดท้ายการวางตัวการกระทำมันก็คือสิ่งที่สะท้อนออกมาจากความคิดของเราเองค่ะ

10.คิดอย่างไรถ้ามีคนมองเราในแง่ลบ ตัดสินเราโดยที่เขาไม่รู้จักเราดีพอ หรือตัดสินเราจากคำพูดที่ส่งต่อกันมา :

เราไม่สามารถหยุดความคิดของคนอื่นที่มีต่อเราได้ไม่ว่าจะในทางบวกหรือทางลบ เราทำได้แค่เผชิญหน้ากับทุกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ อยู่ท่ามกลางความรู้สึกนึกคิดของผู้คนอย่างมีสติปัญญา เราไม่สามารถเป็นคนที่ดีพร้อมหรือสมบูรณ์แบบสำหรับคนทั้งโลก เราเป็นได้แค่ตัวเอง ที่พยายามไม่เบียดเบียน ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น ความรู้สึกนึกคิด อคติ มุมมองลบ หรือปัญหาทางใจของคนอื่น ที่มีต่อเรา เป็นปัญหาของเขา เขาเป็นผู้คิด ผู้รู้สึก ผู้มีอคติ เราแค่ทราบก็พอว่ามันมีอยู่ เราไม่จำเป็นต้องแบกรับความรู้สึกใคร ในเมื่อเขาไม่คิดจะเปิดใจมองในหลายๆด้านไม่ฟังหูไว้หูมาตั้งแต่ต้น เราไม่จำเป็นที่ตะต้องมาเสียเวลาอธิบาย เพราะถ้าเขามีความคิด เขาจะแยกแยะได้ด้วยตัวเอง และมองเราที่การกระทำ สุดท้ายทุกการกระทำ สิ่งที่สะท้อนชัดเจนมากๆ มันสะท้อนถึงคนพูด ไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวถึง กาลเวลามันจะพิสูจน์ทุกอย่างเองจากการกระทำของตัวเรา เป็นเราที่คิดว่าเต็มที่และดีเท่าที่จะทำได้ก็พอค่ะ

จาก 10 ข้อที่ฟังมา มันสะท้อนความคิดในการใช้ชีวิตแบบ "คนคิดเป็น คนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตจริง เป็นคนมีทัศนคติที่ดี" จึงไม่แปลกใจว่าทำไม เธอถึงได้รับความชื่นชมจากประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ

ในฐานะมนุษย์คนนึงเธอคือมนุษย์ที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ใจดี เข้าใจความสุขความทุกข์แบบคนที่ผ่านโลกมาจากบทเรียนอันหลากหลาย

ในฐานะนักการเมืองเธอพร้อมจะเป็นตัวแทนของประชาชน เพื่อผลักดันนโยบายดีๆให้เกิดขึ้นจริง

ในฐานะนักธุรกิจเธอจะค่อยๆประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

ในฐานะคนรักเราเชื่อว่าเธอจะเป็นคู่ชีวิตที่ดีและจะเป็นผู้หญิงที่น่าภูมิใจให้กับคนที่คู่ควรคนโชคดี ที่จะมาเป็นคู่ชีวิตในอนาคต

สามารถอัปเดตและติดตามผลงานแบบส่วนตัวของนินได้ที่อินสตราแกรม : ppnnin

-005