นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท. ได้แก่ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น และธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก มีผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2566 คิดเป็น 31% ของกำไรสุทธิของ ปตท. หรือ 8,748 ล้านบาท ที่ผ่านมาจากวิกฤตราคาพลังงานจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ได้จัดหาแอลเอ็นจีตลาดจรช่วงเวลาเร่งด่วน จัดหาและสำรองน้ำมันดิบ ปรับการผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมัน
นายพงษ์พันธุ์ อมรวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ราคาพลังงานเริ่มคลี่คลายลงโดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติเหลวตลาดจร(สปอตแอลเอ็นจี) ราคาซื้อขายเดือนมิถุนายนลดลงเหลือระดับ 9 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ในขณะที่ช่วงปลายปีคาดว่าราคาจะอยู่ระดับใกล้เคียงเนื่องจากสต๊อกแอลเอ็นจีทั่วโลกขึ้นไประดับ 60%ไม่เกิดภาวะขาดแคลนเหมือนช่วงภาวะสงครามในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้ราคาเคยทำสถิติพุ่งสูงถึง 80 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยซื้อได้ในราคา 40 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นระดับสูงเช่นกันดังนั้นน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับค่าไฟของไทยงวดปลายปีให้ราคาถูกลง เพราะใช้เชื้อเพลิงแอลเอ็นจีผลิตไฟฟ้าค่อนข้างมาก
“ราคาสปอตแอลเอ็นจีที่ ปตท. ซื้อได้เฉลี่ยไม่เกิน 15-20 เหรียญสหรัฐ ซึ่งระดับ 9 เหรียญสหรัฐ ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดย ปตท. ได้ทำสัญญาซื้อ-ขายล่วงหน้าจำนวนหนึ่งแล้ว แต่ซื้อมากไม่ได้เพราะคลังเก็บไม่เพียงพอ ต้องซื้อในระดับเหมาะสม ส่วนราคาน้ำมันดิบตลาดโลกล่าสุดอยู่ที่ระดับ 75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล คาดว่าช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐ โดยราคาไม่หวือหวาสูงขึ้นอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ เนื่องจากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และเศรษฐกิจจีนยังไม่หวือหวาหลังเปิดประเทศ” นายพงษ์พันธุ์ กล่าว
ทั้งนี้ หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปตท. จะเดินหน้าจัดหาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลวจากหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก เพื่อรองรับความต้องการพลังงานของประเทศ รวมทั้งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ อาทิ การเข้าสู่ตลาดคาร์บอน เครดิต เทรดดิ้ง และการค้าเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมายคาร์บอนเป็นศูนย์
นายประสงค์ อินทรหนองไผ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปตท. ได้ดำเนินกลยุทธ์การดำเนินงานผ่านความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. เพื่อคงความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจเดิม (Hydrocarbon based) และเป็นฐานต่อยอดธุรกิจใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (Advance Materials & Specialty Chemicals)ที่สอดคล้องกับการเติบโตตามกระแสโลก โดยสามารถเชื่อมโยงและเติมเต็มห่วงโซ่อุปทานธุรกิจใหม่ ของกลุ่ม ปตท. รวมถึงเพิ่มสัดส่วนธุรกิจคาร์บอนต่ำและธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน
นอกจากนั้น ยังมีการนำเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือช่วยเสริมการบริหารจัดการ เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจให้แก่ภาครัฐ อาทิ การใช้ระบบดิจิทัลมาวางแผนการผลิตน้ำมันในประเทศด้วยระบบดิจิทัล ผ่าน Hydrocarbon ValueChain Collaboration Center รวมถึงเครื่องมือในการบริหารจัดการทางเลือกใช้เชื้อเพลิงของประเทศในภาวะราคาพลังงาน ผันผวน เป็นต้น
ส่วนด้านกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน รองรับสภาวการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป สายงานกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท. ได้ผนึกพลังร่วมภายในกลุ่ม กำหนดแผนธุรกิจใหม่ภายใต้ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย การก้าวเข้าสู่ธุรกิจด้านการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงแผนธุรกิจเพื่อสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero Emissions ของกลุ่ม ปตท. อาทิ เตรียมการเป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพอย่างยั่งยืน ผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในเครื่องบิน ผลักดันความร่วมมือเศรษฐกิจหมุนเวียน และการลงทุนในธุรกิจที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี